Monday, January 30, 2006

ฮาร์ดฉิบ!!



พักหลังนี้ผมเริ่มรู้สึกว่าอาการเห่อ blog มันชักจะหดหายไปตาม law of diminishing utility จริงๆนะเนี่ยแทบจะไม่ค่อยได้ up เลยถึง up ก็ชอบแอบเอาเรื่องของคนอื่นมาแจม เหอ เหอ

อย่างไรก็ตามเกล้ากระผมมีเรื่องสารภาพ 3 ประการนะ

1. แท้จริงแล้วข้าน้อยมิได้เสื่อมสมรรถภาพในการเขียนแต่อย่างใด หากแต่ว่าความขี้เกียจมันรุมเร้าทำให้มิสามารถจรดคีย์บอร์ดได้ (ทีเล่นเอ็มหละพิมปร๋อเลยนะมึง)

2. แม้นว่าสมรรถภาพในการเขียนมิได้หมดไป แต่ข้าน้อยก็มิสามารถใช้มันกับการ up blog ได้ เพราะพลังในการเขียนของข้าน้อยทั้งหมดถูกจอมราชันย์ปีศาจโครงร่างวิทยานิพนธ์สูบเสียสิ้น (ชื่อคุ้นๆเนอะ)

3. ข้าน้อยจึงพยายามเสาะหาจอมยุทธ์ผู้สนใจจะร่วมแจมใน blog และแล้วก็เจอผู้กล้าอาสาจนได้ หากแต่ มันช่างเป็นจอมยุทธ์ที่แสนโง่งมยิ่งนัก save file ห่าอะไรมาก็ไม่รู้ ข้าน้อยไม่สามารถเปิดมันได้ สงสัยแม่งคงพิมใส่โปรแกรมสำหรับยอดคน คนปกติธรรมดาอย่างข้าน้อยจึงมิสามารถเปิดได้ ว่าแต่.......มึงไม่รู้จักไมโครซอฟต์ เวิร์ด รึไงวะ อ้ายสึด

สารภาพไปแล้ว ก็ให้มันแล้วกันละกันเนอะ วันนี้ที่มา up blog ก็ไม่มีอะไรครับ เข้ามาบ่นเรื่อยเปื่อยเฉยๆ และก็มีเรื่องราวจิปาถะมาเล่าสู่กันฟังนิดหน่อย ส่วนมากก็จะเป็นเรื่อง ฮาร์ดๆ ที่ได้เผชิญในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา

เรื่องแรกเลย อืม....ประมาณเมื่อต้นๆ สัปดาห์อะนะ เรื่องของเรื่องก็คือบ้านผมมันยาจกอะ ไม่มีปริ๊นเตอร์ ดังนั้นเวลาจะปริ๊นงานทีนี่ต้องพึ่งใบบุญชาวบ้านเค้าไปทั่วแหละ นั่งทำงานเสร็จสรรพ กะว่า เอ้อ พรุ่งนี้กูค่อยเอาไปยื่น update งานให้อาจารย์ดู ว่าแล้วก็โทรหาไอ้เอฟเพื่อนรักเลย

“เห้ย เด๋วกูเอางานไปปริ๊นบ้านมึงนะ ประมาณ 20 กว่าหน้า”
“เออๆๆ เข้ามาซัก...หลังสามทุ่มครึ่งละกันนะ”
“โอเค งั้นกูเข้าไป 4 ทุ่ม”

ว่าแล้วก็สบายใจครับท่าน นั่งดูทีวีเรื่อยเปื่อย พอถึงเวลานัดหมายก็รีบออกจากบ้าน เพื่อที่จะไปปริ๊นงาน พอไปถึงบ้านแม่งปุ๊บ

“มึงรอแป๊บนึงนะ ไอ้เจมส์มันเก่มอยู่” (ไอ้เจมส์คือน้องของมัน)
“เออ ได้ๆ”

รอให้ตายก็ไม่ได้ปริ๊น......

ไม่อยากจะเล่าต่อเลยว่า ความโง่ของคนเรามีจริงครับท่าน ปริ๊นเตอร์ที่บ้านแม่งอะ ไม่อยู่มาประมาณสองวันแล้ว แต่ไอ้ตัวเจ้าของบ้านนี่แม่งไม่ได้จะรู้ตัวเล้ย เออ ออ บอกให้กูเอางานเข้าไปปริ๊นได้ ไอ้เราพอง้างมือจะปริ๊นเท่านั้นแหละ ก็ เอ.....เครื่องปริ๊นมันหายไปไหนวะ?

สรุปว่า พี่สาวมันย้ายเครื่องปริ๊นไปอีกบ้านแล้ว เออ แล้วมึงก็เสือกไม่รู้จักดูให้ดีๆนะ ให้กูมาเสียเที่ยวอีก งง งานไม่ได้ปริ๊นแม่งแล้ว แม่งฮาร์ดฉิบ

ว่าแล้วก็ขับรถกลับบ้านด้วยความเซ็ง ออกมาได้หน้าหมู่บ้านมัน ก็มาติดอยู่ตรงแยกไฟแดงแถวบ้าน ก็เหลือบไปเห็นอะไรแปลกๆตรงวินมอไซค์

มีพี่วินมอไซค์ คนนึงเดินถือไม้ เอ่อ...ไม่กอล์ฟครับ ขอย้ำอีกทีว่าไม้กอล์ฟอะ ของจริงแท้แน่นอน พี่แกก็เดินอาดๆ ถือได้กอล์ฟ ไอ้เราก็งง เห้ย มันจะเอาไม้กอล์ฟไปทำเชี่ยอะไรวะ ว่าแล้วเราก็ต้องมองต่อไป ซักพักถึงได้รู้แจ้ง

ว่าแล้วพี่วินของเราเดินอาดๆ ออกมาข้างหน้าพร้อมถือลูกกอล์ฟมาด้วยนะ ขั้นต่อมาแกก็วางลูกกอล์ฟไว้กะพื้น แล้วก็จรดไม้ ที่ลูกกอล์ฟ (ไอ้เราก็งง เห้ย แม่งจะตีไปไหนวะ) และแล้ว......พี่วินฯ ก็เริ่มพัดลูกครับ

......................................กลุ๊งๆๆ ลูกลงหลุมไปอย่างงดงาม

ไม่น่าเชื่อแม่งถึงกะลงทุนทำหลุมกอล์ฟ ทำไลน์กอล์ฟ ไว้ตรงวินมอไซค์ เห้อออ เกิดมาพึ่งจะเคยพบเคยเห็นนะเนี่ย พอพี่วินแกตีลงปุ๊บก็มีเสียงเฮฮาไปตามสภาพ (เล่นพนันกันหรือไม่ก็มิอาจทราบได้อีกนั่นแล) พร้อมกับมีพี่วินอีกคนหนึ่งมารับช่วงพัดต่อ ซึ่งจะลงหรือไม่นี่ก็ไม่รู้แฮะเพราะมันเจือกไฟเขียวพอดี ไว้วันหลังเดินออกมาซื้อบะหมี่เกี๊ยวตรงนี้ค่อยมาแวะสังเกตพฤติกรรมอีกทีก็ได้ หวังว่ามันคงจะฮิตไปอีกซักพักนะ เกมฮอตคนฮาร์ดจริงๆ

อีกเรื่องนึงที่จะเล่าก็คือ ขอแสดงความยินดีกะรุ่นน้องที่น่ารัก (น่าเตะอะดิไม่ว่า) เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานะ ที่สามารถคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศจากการตอบปัญหาเศรษฐศาสตร์ระดับอุดมศึกษาครั้งที่ เอ่อ เท่าไหร่วะ ช่างมันละกันนะ เอาเป็นว่ากูดีใจด้วย แต่กูก็ขอโทษนะ ที่ไปดูพวกมึงตอนห้านาทีสุดท้าย 5555 แบบไปถึงยังไม่ได้ทำเหี้ยอะไรเลย ก็มีน้องๆ staff เค้าเอาใบประเมินมาแจกให้กูละ แล้วกูจะประเมินถูกมั๊ยเนี่ย

อีกอย่างนึงนะ ปีนี้งม.ธุรกิจบัณฑิต โคตรใจป้ำเลย แจกโล่ ให้ที่ 1 2 3 เออ น่าอิจฉาหวะ ตอนสมัยกูนี่ (นานอยู่เหมือนกันนะ สามปีที่แล้วมั๊ง) ไปม.ขอนแก่นได้แค่ประกาศนียบัตร เหอ เหอ (มีแอบน้อยใจ)

แต่ที่อยากจะบอกก็คือว่า สำหรับมุมมองของผมที่มีต่อการแข่งขันแบบนี้มันรู้สึกว่า เอ่อ....เหมือนเป็นการมาแข่งขันกันแก้ปัญหาคณิตศาสตร์อะนะ โจทย์ส่วนมากที่ขึ้นให้ทำกันก็จะเป็นการ solve การ derive สมการกันมากกว่า ซึ่งไม่ใช่ว่ามันไม่ดีอะนะ แต่ผมดูแล้วไม่ค่อยสนุกแฮะ แต่อย่างว่าแหละครับ ผมเข้าใจนะ กว่าโจทย์แต่ละข้อจะผ่านที่ประชุมได้มันต้องเคลียร์ แล้วอะไรที่มันเคลียร์สุดหละ แน่นอนก็ต้องออกเป็นคณิตศาสตร์ดิวะ ดิ้นไม่หลุด แน่ๆ แหงมๆ

ที่พูดมาแบบนั้นไม่ใช่หมายความว่ามันเป็นกิจกรรมที่ไม่ดีนะ ผมว่ามันก็ดีระดับหนึ่งแหละ อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้น้องๆที่ร่วมกิจกรรมได้ฝึกฝนการคิดที่มี logic ได้ทำงานร่วมกัน แต่ถ้าถามผมนะ มันน่าจะประมาณว่า ครึ่งเช้าน่าจะให้นิสิตเอาเปเปอไปนำเสนอกัน มีการแสดงความคิดเห็น หลายมหาลัยมันก็หลากความคิดเห็นนะ ได้แลกเปลี่ยนความคิดซึ่งกันและกัน คงเป็นบรรยากาศที่ดีทีเดียว แล้วครึ่งบ่ายจะไปแข่งตอบปัญหาอะไรก็ตามใจ แบบนี้ผมว่ามันก็น่าสนุกกว่านะ สำหรับผมแล้วงานของเศรษฐศาสตร์มันไม่ได้อยู่ที่การ solve แก้ไขปัญหาในตำราเท่านั้น

ผมก็เข้าใจในระดับนึงนะว่า คนเราบางทีมันก็ชอบผลลัพธ์อะไรที่แน่นอน วัดค่าได้ตายตัว แล้วไอ้การแข่งขันนี่มันก็สนองอะไรตรงนี้ได้ ผมเองก็เคยผ่านตรงนี้มาก่อน ตอนนั้นมันก็รู้สึกดีใจอะนะ แต่พอผ่านมานานๆ เข้ามันก็เริ่มรู้สึกเฉยๆ อืม....เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยนจริงๆด้วย หึหึ

เอาเป็นว่า บรรดาน้องๆเอ๋ย จงจำเอาไว้นะว่าการที่แข่งขันได้รางวัลอะไรมาเนี่ยถือเป็นสิ่งที่ดี กูก็เห็นพวกมึงพยายามกันแข็งขันอะนะ แล้วกูก็ขอโทษด้วยที่ชอบเข้าไปป่วนพวกมึง 555 ถือว่ารางวัลที่ได้มามันก็เป็นผลพวงจากความพยายามของพวกมึงทุกคน แต่ก็ขอให้จำไปอีกอย่างละกันนะว่า งานของเศรษฐศาสตร์ไม่ได้มีอยู่แค่นั้นนะ นอกจากเราจะตอบคำถามที่เค้าให้เรามาได้แล้ว เราต้องหัดตั้งคำถามกับสังคมและสิ่งที่อยู่รอบตัวเราด้วยหละ อย่าลืมนะเฟ้ย

ว่าแล้วก็ได้เวลาเฉลิมฉลอง หึหึ นัดกันไปที่เดอะมอลงาทวงศ์วานครับ ใกล้แถวนั้นดี ไอ้ผมก็ สิงจิตสองใจ ไปหรือไม่ไปดีว้า.....โอเคตัดสินใจไป ออกเดินทางกันเล้ย

วูบบบบบ....พอถึงแยกแรกกูก็เลี้ยงผิดทางทันที โอ้วว......ขอบอกก่อนเลยว่าผมเป็นคนที่หลงทางเก่งนะ และไม่คิดว่าอาการมันจะมาออกลายวันนั้น เหมือนกับว่าพอขึ้นรถปุ๊บใจคอมันก็จะไปทางกลับบ้านอย่างเดียวเลย เลยเลี้ยวผิดทางไปคนละด้านกะห้างฯเลยหวะ สาดดด ต้องไปยูเทิร์นใต้สะพานรอรถติด เออ แทนที่จะ 5 นาทีถึงห้าง ไปๆมาๆ ล่อไปยี่สิบกว่านาที กูนี่ชักเริ่มฮาร์ดขึ้นทุกวันแล้วแฮะ

ยังดีที่รุ่นน้องยังไม่ด่าสาปส่งผมเท่าไหร่ อาจจะเห็นใจมั๊ง ไม่รู้ดิ หรือแม่งอาจจะนั่งด่ากูในใจอยู่ก็ได้ เอาเป็นว่ากูขอโทษพวกมึงละกันนะ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆอะ จังหวะมันพาไป

เอาวะ ผิดทางแล้วก็แล้วไป พอมาถึงก็ตกลงว่าจะหม่ำซิสเลอร์กัน ผมก็โอเค จะได้แด๊กสนองความหิวให้เต็มที่หน่อย แต่เป็นดังคาดครับ ร้านคนเต็ม ต้องรอคิว โอเคๆ รอก็รอวะ ว่าแล้วผมก็ควักการ์ตูนที่ซื้อออกมาอ่าน

อ่านการ์ตูนเพลินเลย ก็งงว่าทำไมแม่งเงียบๆกันวะ อ้าว ไอ้สึด หันไปอีกทีแม่งเข้าไปนั่งในร้านกันหมดแล้ว เออ แม่งไม่มีเรียกกูกันเลยนะ ใจคอพวกมึงนี่นะ มันช่างหักหาญน้ำใจกูจิงๆ เหอ เหอ

เห้อ โดนเรื่องฮาร์ดมาก็สองสามเรื่องแล้วนะ ขออย่าให้มีอะไรอีกเลย ไปถึงผมก็สั่งปลาทอดมากิน แหม บริการรวดเร็วทันใจ สั่งไปไม่นานก็เอามาเสิร์ฟละ ขอชมๆ พอมาวางปุ๊บก็หั่นปลากินไปประมาณสามคำนะ และก็กินมันอบไปอีกสองคำได้ แล้วก็ลุกไปตักสลัดมากิน

ปรากฏว่าพอกลับมาที่โต๊ะ เห้ย!!!! ปลากูหายไปไหนวะ???

ไอ้เราตอนแรกก็คิดว่ารุ่นน้องแกล้งอะนะ

“ไอ้หยก มึงแกล้งกูใช่มะ ไอ้สึด เอาจานกูมาเร็วๆ จะแดกต่อ”
“ป่าวนะพี่ ผมไม่ได้เอาไป ไม่รู้ว่าใครเอาไป”

สรุป ไม่ใช่อะไรครับ ท่านพนักงานดีเด่นของเรามาเคลียร์จานผมไปเอง และก็นะ ไอ้ที่นั่งหัวโด่ หัวดำอยู่เต็มโต๊ะก็ไม่รู้จักจะบอกเค้าก่อนนะว่าอย่าพึ่งเก็บ พวกมึงทำเชี่ยอะไรกันอยู่วะ

ไอ้คนที่เก็บไปแม่งก็ฮาร์ดฉิบหาย กูกินไปยังไม่ได้เท่าไหร่เลย ของนี่กองเต็มจานแม่งก็เสือกเก็บไป สมองแม่งคงไม่ค่อยจะฮาร์ดเท่าไหร่ อาจจะขั้นนิ่มไปเลยก็ได้นะนั่น

ก็เลยต้องคุยกับเค้าหน่อยแหละครับ พี่สาวเค้าก็โอเค ไปทำจานใหม่มาให้กิน ตอนแรกนึกว่าจะอดแดกซะแล้วนะเนี่ย เหอ เหอ ปกติผมไม่ใช่พวกโวยวายหรือขี้วีนอะไรเลยนะ แต่เจอแบบนี้ก็เซ็งอ่ะ เสียอารมณ์ขั้นสุดยอดเลยนะจะบอกให้คือแบบว่า กูกะลังกินอยู่มึงมาเก็บไปได้ไงวะ บอกได้คำเดียวว่า

ฮาร์ดฉิบ!!!!

เขียนไปเขียนมา จะตีสองแล้วแฮะ พรุ่งนี้ต้องเอาโครงร่างฯ ไปยื่นให้คณะด้วย ตื่นเต้นหวะ สาด ถ้างานกูโดนตีกลับมานี่ กูกลับบ้านไม่ถูกแหงม ไม่มีแผนสองแผนสามด้วย เจอแบบนั้นคงได้แต่นั่งร่ำไห้อย่างเดียวเป็นแน้แท้

วันนี้ blog ผมก็มาแนวแปลกแฮะ แพร่มไม่หยุดเลยกู นี่แหละครับเป็นอาการเก็บกด ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาผมไม่ค่อยได้มีโอกาสรั่วเสียเท่าไรนัก สบโอกาสเลยขอรั่วใน blog ก่อนละกัน หวังว่าท่านๆทั้งหลายคงเข้าใจผมนะ

วันนี้เห็นทีต้องขอลาไปก่อน

ขอให้ความมีโชคสถิตย์ทั่วแก่ทุกคนเลยนะครับ (อย่าซวยแบบผม 55)


Monday, January 09, 2006

ตอนเฉพาะกิจ : ขอพูดถึงน้าติ่ง


พอตื่นเช้าขึ้นมา (จริงก็ไม่เช้าหรอก 11 โมงเข้าไปแล้ว แหะๆ) ยังไม่ทันจะล้างขี้ตาแปรงฟันเลย ท่านแม่ก็รีบปราดเข้ามาแจ้งข่าวก่อนเลยว่า

“นี่ๆ น้าติ่งลงหนังสือพิมด้วยนะ ไปอ่านสิ”
“!!??@#”
“พอดีวันนี้ซื้อเดลินิวส์มา เนี่ยได้ลงเต็มหน้าเลย”
“#@!!??”

เจอแบบนี้มันก็ งง อึ้ง ทึ่ง มึน อะดิ ตื่นมายังไม่ทันทำหอกอะไรเลย มาเจอข่าวมึนๆอีก เล่นทำขี้ตาระเหิดเลย เอาวะ!! ไม่ล้งไม่ล้างขี้ตาแม่งแล้ว พลิกหนังสือพิมพ์ดูก่อนเลยดีกว่า เปิดไปจนถึงหน้าสิ่งแวดล้อม เออแฮะ เจอเต็มๆเลย แถมมีลงรูปด้วย โอววว.....ตื่นเต้นจังเว้ย

ว่าแล้วเรามาอ่านไปพร้อมๆกันเลยดีมั๊ยครับ

ห้องเรียนธรรมชาติ แหล่งความรู้ขุมใหญ่จากต้นกล้าเล็กสู่ไม้ใหญ่ที่ยั่งยืน”


ท่ามกลางไร่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาของ “ลุงคำ” ชาวไร่ที่เช่าที่ทำกินปลูกพืชไร่หลายชนิดใน อ.แม่สรวย จ.เชียงราย มักจะมีภาพเด็ก ๆ กลุ่มใหญ่เกือบ 20 คน เข้าแถวเดินมาที่ไร่อย่างกระตือรือร้น กระปรี้กระเปร่า แม้วันที่ลมแรง อากาศหนาวเย็น หรือวันที่แดดร้อนเพียงใดก็ตาม ภาพเด็ก ๆ ทั้งขี่ทั้งจูงจักรยานเลาะตามถนนพร้อมด้วยอุปกรณ์การเรียนพะเรอมือ มุ่งหน้าสู่ไร่ของ “ลุงคำ” เป็นภาพที่คุ้นชินตาชาวบ้านละแวกนั้นดี

ที่นี่คือห้องเรียนอีกห้องหนึ่งของเด็ก ๆ โรงเรียนบ้านป่าถ่อน เด็ก ๆ เล่าว่า คาบเรียนของเด็ก ๆ ในไร่ลุงคำวัน นั้น เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับอันตรายของยาฆ่าแมลงและสารเคมีต่างๆในกระบวนการปลูกพืช

ห่างออกไปเพียงไม่กี่ร้อยเมตร จากปากทางเข้าไร่ ห้องเรียนห้องที่สองของเด็ก ๆ เป็นที่ตั้งของโรงเรียนบ้านป่าถ่อน 1 ใน 12 โรงเรียนที่สอนและสอดแทรกหลักสูตรระบบนิเวศวิทยาแก่นักเรียนทุกระดับชั้น ตั้งแต่ ป.1-ป.6 ไล่เรียงตั้งแต่ความรู้ขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับระบบนิเวศไปจนถึงปัญหาการใช้สารเคมีทางการเกษตร ในระดับชั้น ป.4 เป็นต้นไป ที่ อ.พรพรรณ นามรัตน์ หรือ ครูติ่ง ที่ปรึกษาและครูใจดีของเด็ก ๆ ที่นี้ สอดแทรกเรื่องระบบนิเวศเข้าไปเป็นหลักสูตรการเรียนของท้องถิ่น 30 % ตามสัดส่วน

ครูติ่งบอกว่า เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ระบบนิเวศจากนาข้าวและแปลงผักในโรงเรียนด้วยตัวเอง เด็กคนไหนใคร่รู้เรื่องแมลงก็ออกไปเสาะหา สำรวจ สังเกต พฤติกรรมด้วยตัวเอง จากนั้นเรียบเรียงเป็นใบงานหรือเรียงความ ก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนภาษาไทยไป หรือจะเป็นเรื่องอื่น ๆ ในระบบนิเวศรอบตัว การเรียนลักษณะนี้คือการเรียนจากธรรมชาติของจริงนอกห้องเรียน แล้วนำมาบูรณาการเชื่อมโยงเข้ากับการเรียนรู้ร่วมกันกับวิชาอื่น ๆ ได้ทุกวิชา อย่าง ภาษาอังกฤษ ในส่วนของคำศัพท์ต่าง ๆ, สปช. เรื่องของการดำรงชีวิตที่แวดล้อม, กพอ. การปฏิบัติลงมือทำเกษตร, วิทยาศาสตร์ ได้ในเรื่องสารเคมี กับความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตและองค์ประกอบอื่น ๆ ในระบบนิเวศ กระทั่งคณิตศาสตร์ ก็มีส่วนในเรื่องของการคำนวณสูตรปุ๋ยและพัฒนาการของผักได้ เหล่านี้เป็นต้น

เสียงเจื้อยแจ้วเป็นภาษาคำเมืองของเด็กชายเสม ที่นำเสนอลุงคำด้วยประโยคที่ฉะฉาน “ลุงคำครับ วันนี้ผมมีการบ้านมาส่ง” เป็นสมุดวาดเขียนหน้าใหญ่ เล่าเรื่องราวการใช้สารเคมีที่มีแต่จะส่งผลร้าย อย่างที่ลุงคำเคยประสบ มาแล้ว เป็นวิธีการแลกเปลี่ยนความรู้ของลุงคำกับเด็ก ๆ วิธีหนึ่ง

นับเป็นการผ่องถ่ายจิตสำนึกเรื่องระบบนิเวศในธรรมชาติรอบห้องเรียนที่ไม่ได้มีแค่ในตำรา แต่ต้องขวนขวายออกไปหาเรียนจากของจริง ๆ ข้างนอกห้อง เช่น ไร่ลุงคำ ซึ่งถือเป็นแหล่งความรู้ขุมใหญ่ที่น้อง ๆ ก็ได้รู้ได้เห็นและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเกษตรกรได้ด้วยตัวเอง

เหล่านี้เกิดจากการเห็นความสำคัญของอันตรายในสารเคมี ซึ่งมูลนิธิการศึกษาไทยได้ริเริ่มโครงการระบบนิเวศฯในโรงเรียน และยื่นมือเข้ามาในเรื่องของการจัดกิจกรรมและกระบวนการเรียนรู้ โดยได้รับการสนับสนุนจากโครงการ IPM DANIDA กรมวิชาการเกษตร ประโยชน์ที่ได้มากน้อยแค่ไหนนั้น เด็ก ๆ บอกว่า พวกเขาจะนำกลับไปใช้ที่บ้าน ไปบอกพ่อแม่พี่น้อง และชุมชนคนรอบข้างว่า สารเคมีในยาฆ่าแมลงที่พวกเขาเรียนและรู้ด้วยตัวเองมานั้น เป็นอันตรายต่อชีวิตในระยะยาวมากขนาดไหน นอกเหนือไปจากความสุขที่ได้รับจากการมาเล่าเรียนในแต่ละวันแล้ว สำนึกรักในคุณอนันต์ของธรรมชาติและโทษของสารเคมียังถูกถ่ายทอดลงในสามัญสำนึกของเด็ก ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไปอีกด้วยให้การผ่องถ่ายจิตใต้สำนึกเรื่องการทำลายสิ่งแวดล้อมจากสารเคมีใน ยาฆ่าแมลงแก่เด็ก ๆ เสมือนการปลูกฝังจากรากลึกสู่ยอดไม้ใหญ่ที่ยั่งยืนและคงทนในอนาคตข้างหน้า.


เขียนโดย เนาวรัตว์ ทองหว่าง ที่มา : หนังสือพิมเดลินิวส์ ฉบับวันที่ 8 ม.ค.2549
------------------------------------------------------------


อ่านแล้วได้คิดเหมือนกันแฮะ.........

ผมว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญนะ การศึกษาที่ดีมันก็ส่วนสำคัญมากเลยทีเดียวที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของผู้คนดีขึ้น และแน่นอน เมื่อผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีในหลายๆด้าน ปัญหาสังคมอะไรที่ตามมาต่างมันก็คงจะเบาบางลง

แล้วไอ้การศึกษาที่ดี ที่ว่ามาเนี่ย มันเป็นแบบไหนหละ??

ถ้าถามผม ด้วยปัญญาและรอยหยักอันน้อยนิด อีกทั้งความรู้เรื่องเกี่ยวกับการศึกษานี่ก็แทบจะไม่มีเลย คงจะยากหาคำตอบอะไรที่เบ็ดเสร็จได้ แต่อย่างน้อยที่สุดผมเชื่อว่า สิ่งที่น้าติ่งทำอยู่เนี่ยแหละถือว่าเป็นหนึ่งในการศึกษา “ที่ดี”

ผมเชื่อว่าการศึกษาที่ดีไม่จำเป็นต้องมีรูปแบบเดียว ไม่ต้องเริ่ดหรู อลังการ บานตะเกียง อะไรมากมาย แต่การศึกษาที่ดีมันน่าจะเป็นการที่ตัวหลักสูตรและวิธีการสอนมีความยืดหยุ่น (flexible)สามารถปรับเปลี่ยนแปรผันให้สอดคล้องไปตามสภาพของท้องถิ่น ผู้คน สังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน

ดั่งการสอนของน้าติ่ง อารมณ์การเรียนการสอนนี่ชิวมาก ประมาณว่าใช้ไร่ทุ่งเป็นห้องเรียน หญ้าใบ สัตว์เล็กใหญ่แทนหนังสือ ผมว่ามันคงจะน่าตื่นเต้นดีนะ คงสนุกกว่าให้ไปนั่งท่องตำราเยอะ

ที่ว่ามาไม่ได้บอกว่าตำราไม่ดีนะครับ แต่ในเมื่อบางแห่งบางท้องถิ่นเรามีธรรมชาติเป็นครูแล้ว ก็ให้ธรรมชาติสอนไปเลยไม่ดีกว่าหรือ ผมเชื่อนะครับว่ายังไงตำรามันก็ไม่ใช่ของจริง มันเป็นได้อย่างมากก็คือแค่สิ่งที่เป็นภาพสะท้อนของความจริง(representation)เท่านั้น ดูตัวอย่างผมก็ได้ครับ ผมเองก็รู้เรื่องเกี่ยวกับระบบนิเวศน์หรือธรรมชาติอะไรเนี่ยน้อยมาก เพราะก็เติบโตและร่ำเรียนมาแต่ในเมืองอย่างเดียว จะรู้หรือจะเห็นอย่างมากก็แค่ในตำราเรียน เชื่อเหอะว่า ถ้าไปเดินลุยทุ่งดุ่ยๆกับน้องๆ ผมต้องเป็นฝ่ายคอยถามน้องเค้าแน่ๆว่า นั่นอะไร โน่นอะไร นี่อะไร แหงแซะ

อ้าว แบบนี้ก็ไม่ต้องเรียนหนังสือกันอะดิ??

มันก็ไม่ใช่ขนาดนั้นครับ ผมว่านะ นอกจากการศึกษาที่ดีมันจะต้องมีความยืดหยุ่นปรับให้รับกับท้องถิ่นได้ มันก็ต้องมีความยืดหยุ่นในแง่ของการสอดประสานความเป็นศูนย์กลาง ที่เปรียบเสมือนเป็น”เรื่องเล่าหลัก” (grand narrative) ของสังคม ผนวกเข้าไปกับ “เรื่องเล่าเล็กๆ” (little narrative) ของท้องถิ่นนั้นๆ ผมเชื่อนะว่าการสอดประสานกันของสองสิ่งนี้มันน่าจะนำไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น

เช่นกรณีที่ของน้าติ่งจะเห็นได้ว่ามีการสอดประสานสองสิ่งนี้เข้าไว้ด้วยกัน เด็กเรียนรู้สิ่งต่างๆจากมาตุภูมิของตน ในขณะเดียวกันพวกเขาก็สามารถที่จะเรียนรู้และเชื่อมโยงความรู้ท้องถิ่นเหล่านั้นเข้ากับการศึกษาในแบบแผนได้ด้วย


มันคงจะไม่ดีนักถ้าการศึกษาของเราเป็นอารมณ์ที่ประมาณว่ายัดเยียดสิ่งต่างๆนานาให้เด็กโดยที่มองข้าม ละเลยมิติที่สำคัญๆไป การศึกษาแทนที่จะเป็นสิ่งที่ดี กลับไปทำให้เด็กตัดขาดจากท้องถิ่นและชุมชนเองตัวเองซะงั้น

เลยอยากจะสรุปง่ายๆนะว่า สุดท้ายแล้วมันไม่มีอะไรสำคัญกว่ากันหรอกครับ ทั้งสองสิ่งล้วนสำคัญต่อการศึกษาทั้งสิ้น ดังนั้นแล้วเราไม่จำเป็นต้องเลือกแบบอภิมหาสุดโต่ง หรือสุดขั้วแสนแสบไปในด้านใดด้านหนึ่งแต่อย่างใด แต่เราสามารถเลือกที่จะทำให้สองสิ่งพริ้วไหวไปด้วยกันได้ สร้างสรรค์หนทางที่สดใส สวยงาม ซาบซ่า (ฮ่าๆ)

-------------------------------------------------------

จริงๆแล้วผมก็รู้จักมักคุ้นกับน้าติ่งมาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะครับ ด้วยที่เค้าเป็นเพื่อนสนิทสนมกับแม่ผม แต่ผมรู้เกี่ยวกับตัวน้าติ่งไม่ครบแฮะ รู้ว่าน้าติ่งเป็นครูที่เชียงราย รู้ว่าน้าติ่งทำกับข้าวเก่งมาก (เพราะน้าเค้ามาบ้านผมทีไร ได้กินฝีมือเค้าทุกงานไป) รู้ว่าน้าติ่งได้รับคัดเลือกให้เป็นครูต้นแบบเมื่อปี เอ่อ.....จำไม่ได้ เหอ เหอ และที่สำคัญ รู้ว่าลูกสาวน้าติ่งน่ารักมาก (ฮ่าๆ)

แต่สำหรับสิ่งที่เค้าทำอยู่ ก็พึ่งมารู้เอาวันนี้แหละครับ จะไปโทษใครได้เนอะ เค้าเทียวไปเทียวมาตั้งหลายทีดันไม่เคยที่จะคุยเรื่องนี้กันเล้ย....ถ้ามาครั้งหน้าคงไม่พลาดที่จะคุยในประเด็นนี้แน่นอน

อ้อเกือบลืม ตะกี้ลอง search ใน google ใส่ชื่อน้าติ่งลงไปก็มีโผล่ขึ้นมาเหมือนกันแฮะ แต่ผมคิดว่าอันนี้น่าสนใจดี ว่างๆก็ลองไปอ่านกันดูนะครับ

จะตีสองแล้วแฮะ ชักง่วง เอาเป็นว่าใครมีอะไรจะฝากผมคุยกับน้าติ่งบอกมาได้เลยนะคร้าบ ไม่คิดค่าบริการแต่อย่างใด เหอ เหอ
-----------------------------------

ภาคผนวก


ครูต้นแบบคืออะไร??

ครูต้นแบบคือครูที่ได้รับการประเมินจากคณะกรรมการที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติแต่งตั้งขึ้นว่ามีการจัดกระบวนการเรียนรู้หรือกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญได้จริงตาม
พรบ.การศึกษา

ครูที่ผ่านการประเมินเรียกว่าครูต้นแบบ มีหน้าที่ต้องขยายเครือข่ายของตนที่เปิดรับสมัครจากครูในระดับเดียวกัน มาร่วมโครงการพัฒนารูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้ในลักษณะกัลยาณมิตรนิเทศ โดยเริ่มตั้งแต่เขียนแผนการสอน สื่ออุปกรณ์ รูปแบบหรือวิธีสอนที่เป็นของตนเอง ให้กับครูเครือข่าย และดำเนินงานวิจัยควบคู่ไปด้วย

ครูเครือข่ายคือครูที่สมัครเข้าเป็นเครือข่ายของครูต้นแบบเพื่อร่วมกันปฏิรูปการจัดกระบวนการการเรียนรู้ของตนเองตามพรบ.แห่งชาติ ตามรูปแบบของครูต้นแบบและประยุกต์เป็นของตนเองในที่สุด