Thursday, February 23, 2006

แก๊งงง หมดยกที่1...



เฮ้อออออ

ได้เวลา up blog ด้วยตัวเองซักที หลังจากที่ผมดองเค็มมานานแสนนานมาก แต่ตอนนี้ค่อนข้างโล่งครับ เพราะว่า.....เพราะว่า

ในที่สุดผมก็สอบโครงร่างวิทยาริพนธ์เสร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี.....เย้

แต่ก็นะ กว่าจะเสร็จไปได้ก็อิหลุกขลุกขลักกันพอสมควรเลยครับ ตั้งแต่ตอนแรกที่มีการจองห้องทับซ้อนกันระหว่างผมกับเพื่อน เล่นทำเอาล่กไปเลย อีกทั้งอาจารย์ที่เป็นที่ปรึกษา (ร่วม) ของผมดันลืมวันดีเฟนอีก เหอ เหอ ฮาร์ดโคตร เอาเป็นว่าผมโทษตัวเองดีกว่าแหละ จริงๆนัดอาจารย์เค้าเอาแล้วแหละ แต่ดันไม่ยอมไปเตือนแกตอนใกล้ๆดีเฟนอีกที โอ้ย เกือบตาย

เนื่องจากความขลุกขลักดังกล่าวทำให้ การดีเฟนของผมมันส์มาก โดยที่การสอบนั้นขอบอกว่าไม่มีการไหว้ครูใดๆทั้งสิ้น กล่าวคือเนื่องจากเวลามันล่วงเลยสายมาพอสมควร บรรดากรรมการพอเริ่มปุ๊บก็ยิงคำถามทันควัน ไม่มีการนำเสนอโครงร่างใดๆทั้งสิ้น (เล่นเอาเพื่อนๆ กะรุ่นน้องที่ตามมาฟังงงเลยว่า....เหย ไม่มี present ก่อนหรอวะ อิอิ)

เกือบเอาตัวไม่รอดแน่ะ (ตอนแรกที่ปรึกษาผมยังไม่มา) ทั้งประธานสอบกับกรรมการสอบต่างช่วยกันยิงคำถามกันอย่างเมามันส์ ผมก็พยายามตอบอย่างเต็มความสามารถอะนะ เอาตัวรอดได้อย่างหวุดหวิด แต่การ comment ของแต่ละท่านนี่มีประโยชน์มากครับ คมคายเลยทีเดียว ทำให้เราเกิดอาการ อ๋อ ในใจได้อย่างไม่ขาดสาย และทำให้เห็นจุดบกพร่อง หรือรูโหว่ในงานของเรา บางจุดบางประเด็นที่เราละเลยไป

กว่าอาจารย์ที่ปรึกษาของผมจะเข้ามา ตอนนั้นก็เกือบน่วมแล้วครับ พอที่ปรึกษาเข้ามาปุ๊บ ผมนี่รีบสบตาซึ้งทันทีเลยครับ ฮ่าๆ พอมาถึงอาจารย์ท่านก็ช่วย overview งานผมในบางส่วน เพื่อเป็นการฉายภาพและก็ปรับความเข้าใจกับบรรดาประธานและกรรมการสอบ เพื่อเป็นการจูนอะไรให้ตรงกัน ซึ่งก็ทำให้การสอบมีความไหลลื่นขึ้นครับ

หลังจากนั้นการสอบก็ยังคงดำเนินไปเช่นเดิมครับ เราทำหน้าที่เป็นผู้รักษาประตูคอยรับลูกยิงอย่างเดียวเลย เบ็ดเสร็จแล้วใช้เวลาเกือบชั่วโมงนึงครับ สำหรับการทำหน้าที่เป็นผู้รักษาประตู

และแล้วเวลาอันแสนระทึกก็มาถึง.........

นั่นก็คือผมต้องออกมานั่งรอผลการสอบข้างนอกครับ บรรดาอาจารย์ก็ใช้เวลาลงมติกันประมาณ อืม.....5 นาทีมั๊งครับ ถ้าจำไม่ผิด แต่สำหรับผมนี่มันก็นานเหมือนนะเนี่ย ในใจก็คิดในทางหนึ่งว่า เอ้อ อย่าไปเครียดมาก เราก็ทำได้ดีแล้ว ไม่น่าที่จะโดนรื้อหรือสอบใหม่นา แต่อีกใจหนึ่งมันก็คิดว่า แล้วถ้าเกิดเค้าดันมองเห็นความเป็นไปไม่ได้ของงานเราขึ้นมาหละ แล้วโดนรื้อเละเลย แบบนี้เซ็งบรมเลยนะนั่น ตอนรอนี่เล่นเอานั่งไม่ติด เดินไปเดินมาเป็นเจ้าเข้าทรง

แต่สุดท้ายผมการสอบเป็นที่น่าพอใจ (สำหรับผม) ครับ ก็คืออาจารย์ลงมติให้ผ่านครับ แต่ให้มีการเพิ่มเติมบางประเด็น แต่เป็นการเพิ่มเติมในส่วนของบทต่อๆ ไป ซึ่งผมก็ไม่ขัดข้องแม้แต่นิดเดียวครับ เพราะสิ่งที่เหล่าอาจารย์ comment และให้เพิ่มเติมไปนั้น เป็นส่วนผมไม่ได้คาดคิด คิดถึงมาก่อนเลย อาจจะด้วยความอ่อนด้อยอ่อนหัด ทำให้มองเห็นภาพอะไรไม่คมคายเท่าที่ควร ซึ่งการที่ได้รับ comment เหล่านี้ทำให้ผมได้เปิดมุมมองของตัวเอง มองเห็นจุดบอดของเรางาน และสร้างโอกาสให้เราปรับปรุงมันงานของเราให้ดูดีขึ้น และในนัยหนึ่งก็ดีใจครับที่งานของเรายังไม่โดนรื้อ ยังคงสภาพเดิมอยู่เยอะเลยทีเดียว เพียงแต่ต้องปรับปรุงเพิ่มเติมในบางประเด็น

พอฟังผลเสร็จก็โล่งครับ และก็รู้สึกดีครับ ที่มีเพื่อนผมกับรุ่นน้องอีกคนหนึ่งช่วยกันจดบรรดา comment ต่างๆ ของเหล่าอาจารย์ให้ครับ เนื่องจากเพื่อนๆผมทราบดีว่าธรรมชาติของผมเป็นคนไม่ค่อยจดอะไร แถมจดก็แบบ...ไร้ระเบียบสิ้นดี เมื่อรู้ดังนี้เลยช่วยจดให้ผมครับ โดยที่ผมไม่ได้เอ่ยขอเลย ขอบใจมากเว้ย ช่างมีน้ำใจสุดฮาร์ด สุดซึ้ง จริงๆ

หลังจากหมดยกแรก (การสอบโครงร่าง) แล้วผมคิดว่าที่เหลือคงค่อยๆ ทยอยทำ ทยอยอ่าน ทยอยเก็บตามอัตภาพครับ คิดว่าน่าจะมีเวลามา up blog ได้ถี่ขึ้นกว่าเดิม ประกอบตอนนี้ blog ของผมเริ่มมีอาการไร้แก่นสารเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าทวี โอกาสหน้าผมจะพยายามนำเสนอเรื่องราวที่เป็นสาระหน่อยดีกว่า ซึ่งที่คิดเอาไว้ก็อาจจะเอาส่วนหนึ่งของโครงร่างมาย่อยเป็นบทความสั้นๆ ให้ได้อ่านกัน ซึ่งตรงใครมีความเห็นอย่างไรก็บอกกล่าวกันได้นะครับ

ดังนั้นแล้ว......

โปรดอย่ารอคอย แต่จงติดตามด้วยความระทึกในดวงหทัยพลัน!!!! (เลียนแบบ อ.ปิ่น 555
)

Monday, February 20, 2006

ยินดีด้วย...เคราซ์

มาครานี้ขอ up blog แบบให้ทันกับเหตุการณ์หน่อย ซึ่งบทความนี้เป็นอะไรที่ไอ้เพื่อนตัวดีของผมมันคันปากมากๆ ถึงกับส่งเมลมาให้ลงเลย เหอ เหอ

ครั้งจะขัดศรัทธาก็ใช่ที่ ว่าแล้วผมก็เอาแปะลง blog ซะเลย หึหึ

คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณให้มากเรื่องนะครับ เพราะดูจากชื่อเรื่องที่จั่วหัวไว้ก็คงรู้กันแล้วล่ะว่ามันเกี่ยวกับเรื่องอะไร และเค้าคนนั้นคือใคร ซึ่งก็คือนายสูงชะลูด ตูดปอดแห่งถิ่นแอนฟิลด์นี่เอง กรั่กๆ

ส่วนตัวผมเองไม่ใช่ประเภทคอบอลลึกซึ้งอะไรมากมายครับ อาจจะมี match ใหญ่ๆหรือสำคัญที่มีการไปเฮฮาดูกันที่บ้านเพื่อนบ้าง แต่ก็ไม่บ่อยนะ ปกติก็แทบจะไม่ติดตามด้วยซ้ำ อาจจะตามดูข่าวคราวบ้างตามอัตภาพ แต่ยังไงคราวนี้ขอเปลี่ยนบรรยากาศ เอาเรื่องที่เป็นกีฬาๆลงบ้างละกัน

เชิญทัศนา.........




และแล้วก็ถึงวันที่ผมรอคอยนั่นคือวันเสาร์ วันแห่งการพักผ่อนและหางานอดิเรกทำแต่เสาร์นี้มันมีดีกว่าเสาร์อื่นตรงที่มีบอล เอฟเอคัพ ให้ดูนี่แหล่ะ ก่อนอื่นขอบอกเลยนะครับว่าผมไม่ได้เชียร์ใครเป็นพิเศษทั้ง ลิเวอร์พูล และ แมนฯยูฯ แบบว่าผมเป็นแฟนบอลยูเว่น่ะ

หลังจากเริ่มเกมส์ได้ไม่นานเท่าใด ความมหัศจรรย์ ก็เกิดขึ้น นั่นคือ เขาทำได้ เคราซ์โหม่งเข้าประตูอย่างสุดสวย เล่นเอาเดอะ ค๊อป คลั่งทั้งสนามแอนฟิลด์

ผมว่ามันไม่แปลกที่แฟนบอลลิเวอร์พูลจะดีใจขนาดนั้น เนื่องเพราะเก็บกดจากที่แมนฯยูฯ ทีมคู่รักคู่แค้น ซึ่งจริง ๆ ต้องบอกว่าคู่กรรม ชนะในลีกมาเมื่อนัดที่แล้ว สองคือ เคราซ์ กองหน้าที่สูงปรี๊ดแต่คุณภาพการพังประตูต่ำติดดิน ยิงใครไม่ได้มาหลายนัด แต่ดันทะลึ่งมายิงแมนฯยูฯได้ซะฉิบ ผมว่าถ้าเคราซ์จะมีคุณงามความดีอยู่บ้างก็คงจะเป็นไอ้ลูกที่โหม่งได้ในวันนี้นี่แหล่ะ อารมณ์ประมาณว่า จากทาสสู่วีรบุรุษ จากโจรสู่อรหันต์ หรือ จากมารสู่ธรรมบรรลุมรรคผลไปเลย (แต่เดี๋ยวสักพักมันคงกลับมาเป็นโจร เป็นมารในสายตาแฟนบอลเหมือนเดิม) กลับกันผมเข้าใจความรู้สึกของแฟนบอลแมนฯยูฯดี โดน เคราซ์ ยิงนี่น่าเศร้ากว่าตอน จอร์จ เบสต์ ตายซะอีก แต่หลังจากดูจนจบเกมส์ก็ต้องบอกว่ายินดีด้วยกับ เคราซ์ จริง ๆ แม้ว่าผมจะไม่ชอบในความไม่คมของ เคราซ์ชนิดสากกระเบือเรียกเคราซ์เป็นบรรพบุรุษ แต่ตลอดเวลาที่เคราซ์ลงเล่นในนัดนี้จนโดนเปลี่ยนตัวในช่วงท้าย เคราซ์ตั้งใจจริง ๆ ขยันและทุ่มเทใช้ได้เลย แม้ว่าจะไม่มีลูกอันตรายให้เห็นอีก และ ยังกระหย็องกระแหยง ปวกเปียกเหมือนเดิม แต่โดยรวมถือว่าผ่านนะ ลูกนั้นก็ให้เป็นรางวัลเขาไปก็แล้วกัน สำหรับเรื่องน่าเศร้าที่เกิดกับ อลัน สมิธ ในช่วงท้ายเกมส์นั้นขอแสดงความเสียใจแก่แฟน ๆ เร้ดเดวิล ด้วยเพราะตอนพิมพ์บทความนี้คือหลังจบเกมส์มาหมาด ๆ ผมจึงยังไม่สามารถทราบได้ว่าเขาเจ็บแค่ไหน แต่ดูจากอาการแล้วคงไม่ใช่ย่อยเลย

สำหรับแฟน ๆ บอลแล้วอยากเตือนสติว่าทุกอย่างเป็นวัฎสงสาร เป็นอนิจจัง อย่าใส่อารมณ์กันให้มาก มีแพ้มีชนะเป็นธรรมดา ต่อให้ชนะก็ชนะไม่ได้ตลอดหรือถ้าแพ้ก็ไม่มีใครแพ้ตลอดเช่นกัน อย่าถึงขนาดทะเลาะกันเพราะเรื่องบอลเลย มันไร้สาระและไร้สมองสุด ๆ สำหรับ เคราซ์ “ ศูนย์หน้าทีมชาติอังกฤษ " ต้องบอกว่าขอให้ประตูในวันนี้เป็นสัญญาณที่ดีในการทำประตูอย่างต่อเนื่องของเขาในวันหน้า แล้วก็หัดทำบุญให้มาก ๆ นะชาติหน้าถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์อีกเพื่อจะได้เป็นศูนย์หน้าที่ทำประตูเยอะ ๆ กับเขาบ้าง

สุดท้ายนี้ยังคงจบเหมือนบทความอื่น ๆ ของผมนั่นคือ แม้ว่า จุ๋ม จะไม่ดูบอลและไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เคราซ์ คือตัวอะไร แต่ไม่ว่าผมจะเขียนวิจารณ์หรือ แสดงความเห็นอะไรก็แล้วแต่ ผมก็ยังยกเครดิตทั้งหมดให้ จุ๋ม เช่นเดิม

Aries

Saturday, February 11, 2006

เรื่องของหญิงๆ ชายๆ

ทุกท่านอยู่ในความสงบ!!

โปรดอย่าตกใจนะครับที่ทำไมครานี้ผมถึง up blog ได้เร็วเร็วทันใจกว่าเดิม อะเหอ อะเหอ

เรื่องของเรื่องมันก็มีอยู่ว่า ผมสามารถไปไถบทความของชาวบ้านมาได้นั่นเอง หึหึ งานนี้เลยแฮ เอาของคนอื่นมาลง ส่วนผมไม่ต้องทำอะไรมากแค่ Copy + Paste นิดโหน่ยก็เสร็จงานแล้ว สมกับเป็นยอดมนุษย์ฮาร์ดแมน ซูเปอร์เลซี่กายจริงๆ

คนนี้เป็นรุ่นน้องผมเองครับ ไฟกำลังแรงเลยทีเดียว (แต่ที่คุยกันครั้งล่าสุดรู้สึกว่าไฟมึงมันจะเริ่มมอดๆแล้วนะ) ดีกรีหนึ่งในทีมตอบปัญหาเศรษฐศาสตร์ระดับอุดมศึกษา ที่พึ่งคว้าที่สองมาหมาดๆ (ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะได้กูช่วย (ป่วน) แท้ๆ)

เอาล่ะ ผมขอจบเวลาแห่งการอารัมภบทแต่เพียงเท่านี้ ขอเชิญทุกท่านทัศนาได้เลยคร้าบ.......



เนื่องด้วยความรู้จักกันมานานระหว่างผม กับเจ้าของ BLOG ตอนพี่แกเปิด BLOG ผมก็ได้เข้าไปยลผลงานของพี่ท่านอยู่บ่อยๆ จนพี่เขาลองชวนเข้ามาเขียนบ้าง ซึ่งผมก็สนใจแต่ปัญหามันอยู่ที่ไม่รู้จะเขียนอะไรนี่สิ จนเมื่อคืนได้คุยกับเพื่อนต่างมหาวิทยาลัยกัน ซึ่งเขากำลังเขียน paper ในหัวข้อที่ว่า หากผู้หญิงเป็นคนคิดค้นเทคโนโลยีองค์ความรู้ต่างๆ แทนผู้ชาย ปัญหาเรื่องการกดขี่ผู้หญิงจะลดลงไปหรือไม่ ผมก็เลยปิ๊งอยากเขียนขึ้นมาทันใด ว่าแล้วก็ลงมือวิเคราะห์กันด้วยชุดความรู้ที่มีอันน้อยนิดของผมเสียที


เป็นที่ยอมรับกันว่าสิทธิเสรีภาพระหว่างผู้หญิงผู้ชายในบรรณพิภพนี้ ไม่เคยมีเท่ากัน ไม่แม้แต่ในมนุษย์เท่านั้น แต่ในสัตว์ต่างๆก็ไม่เว้น ที่จ่าฝูงมักเป็นสัตว์ตัวผู้ ที่เรามักพบกันโดยส่วนใหญ่ แม้กระทั่งแมลง เช่น ผึ้ง ซึ่งถ้าเราพิจารณากันที่มนุษย์แล้ว มองกันในแง่ของกายวิภาควิทยา ผู้ชายมีสรีระ พละกำลัง ที่เข้มแข็งกว่าผู้หญิง ผมจึงมองว่าด้วยลักษณะทางกายวิภาคนี้ ได้เป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์ในเชิงอำนาจระหว่างผู้ชายและผู้หญิงในอดีต ที่ว่าด้วยชนชั้นปกครองกับชนชั้นใต้ปกครอง โดยในสมัยอดีตถ้าเอามาตั้งแต่สมัยคนถ้าที่มนุษย์ผู้ชาย จะเป็นผู้ปกป้องพวกพ้องของตนเอง ในสมัยที่มีความเจริญเข้ามาอีก นักรบทั้งหมดล้วนเป็นผู้ชาย ซึ่งชนชั้นนักรบมักเป็นชนชั้นสูง ชนชั้นปกครอง ดังที่เราจะเห็นในประวัติศาสตร์การเข้ายึดอาณานิคมของชาติต่างๆ ที่พวกทหารมักเอาผู้หญิงมาข่มขืนตามทาง ดังเช่นในตอนที่ ญี่ปุ่นบุกจีน รวมถึงการกระทำทารุณกรรมต่อผู้หญิงต่างๆ ผมมองว่าการกระทำต่างๆเหล่านี้ เป็นการประกาศศักดา ความเป็นชนชั้นปกครองต่อผู้หญิง ด้วยพื้นฐานกำลัง(Force) ซึ่งพอนานเข้าสิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาสามัญในแต่ละยุคสมัย ความเหลื่อมล้ำทางเพศยังคงมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อ ประเพณีที่ยึดปฏิบัติต่างๆ ที่ยกให้ผู้ชายเหนือผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็น เด็กผู้ชายมักจะได้รับการศึกษาที่สูง เพื่อที่จะเป็นเสาหลักผู้นำครอบครัวต่อไป ในขณะที่ผู้หญิงมีหน้าที่เพียงคอยดูแลบ้าน ปรนนิบัติสามี ซึ่งเป็นการสร้างอำนาจ(Power) ให้ผู้ชายมีสิทธิที่เหนือกว่าผู้หญิงอย่างเห็นได้ชัด และผู้หญิงในยุคนั้นก็ค่อนข้างที่จะซึมซับค่านิยมว่าผู้ชายเป็นชนชั้นปกครอง ซึ่งเป็นค่านิยมของสังคมด้วย ทำให้การที่ผู้หญิงต้องการที่จะต่อต้านความเหลื่อมล้ำนั้นมีน้อยมาก จนกระทั่งมันกลายเป็นความชอบธรรม(Legitimate) ที่ออกมาในลักษณะกฎหมายต่างๆ ที่เราเห็นกันในเช่นปัจจุบัน ที่มองผู้หญิงเป็นเพียง sex machine เท่านั้น ดังเช่น มาตรา 276 ที่ บอกว่า ผู้ชายมิอาจข่มขืนหญิงอื่น ที่มิใช่ภรรยาตนเองได้ ซึ่งถ้าผมจะแปลว่าสามี สามารถข่มขืนภรรยาได้อย่างถูกกฎหมายก็คงไม่ผิด ผู้หญิงมิอาจเรียกร้องสิทธิ์หรือความชอบธรรมอันใดได้ เมื่อไม่ต้องการมี sex กับสามีตัวเอง หรือ อย่าง 2-3 วันที่ผ่านมา ผมได้อ่านข่าวเจอเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเกือบถูกข่มขืนอย่างหวุดหวิด ที่รอดมาได้ก็เพราะว่า เธอถูกจักแก้ผ้าและบังคับให้อมเจ้าโลก ซึ่งเธอก็ตัดสินใจกัดเจ้าโลกของไอ้หื่นคนนั้น ทำให้เธอรอดมาได้ และในท้ายที่สุดไอ้หื่นคนนั้นถูกจับได้ โดยถูกตั้งข้อหากระทำอนาจารย์เพียงเท่านั้น นั่นเพราะหมอนั่นยังไม่ได้กระทำการที่ถึงจะเรียกว่าข่มขืนตามหลักกฎหมายไทย ทำให้ผมเริ่มรู้สึกสังเวชต่อกฎหมายไทย เด็กผู้หญิงคนนั้นต้องโดนข่มขืนก่อนใช่หรือไม่ ไอ้หื่นคนนั้นถึงจะโดนข้อหาข่มขืนได้ ผมว่ายังคงเป็นประเด็นที่คงต้องคุยกันอีกยาว


กลับเข้าสู่ประเด็นคำถามที่ได้โปรยไว้ตอนหัวเรื่องอีกทีหลังจากที่อรัมภบทเสียยืดยาว ซึ่งคำถามประเภทที่แหกคอกความเป็นจริงแบบสุดโต่งเช่นนี้นี่ ยากที่จะหาข้อสรุปได้ คราวนี้ถ้าโลกนี้ จริงๆแล้ว ไอแซก นิวตัน อัลเบิร์ต ไอสไตน์ หรือแม้กระทั่ง บิลล์ เกตต์ เป็นผู้หญิงละ ความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างผู้หญิงและผู้ชายจะเปลี่ยนไปในลักษณะใด องค์ความรู้ต่างๆ ทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน ล้วนตกผลึกมาจากผู้ชาย ซึ่งเป็นการสร้างค่านิยม ความเชื่อในสังคมให้เกิดความรู้สึกว่าผู้ชายเหนือกว่าผู้หญิง คำถามที่ตามมานั่นคือ ทำไมนักคิดต่างๆ จึงไม่ใช่ผู้หญิงบ้างละ ประเด็นน่าจะมาจากที่กล่าวมาข้างต้นที่ผู้ชายมักมีสิทธิ์ในการต่างๆมากกว่าผู้หญิงในอดีต การรับราชการก็ดี การศึกษาก็ดี การพบปะสังสรรค์กันล้วนมีส่วนช่วยให้ผู้ชายมีระบบคิดที่ก้าวไกลมากขึ้น ถ้าเทียบกับผู้หญิงที่ต้องคอยซักผ้า ทำความสะอาดอยู่บ้าน โอกาสที่จะเข้าถึงแหล่งความรู้ต่างๆ ย่อมมีจำกัดอย่างยิ่ง แต่ในปัจจุบันความเหลื่อมล้ำได้ลดลง เนื่องจากความเข้าถึงการศึกษาที่มากขึ้น ผู้ชายไม่สามารถจะใช้กำลังกดขี่ผู้หญิงดังเช่นในอดีตต่อไป แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ความสัมพันธ์ส่วนใหญ่จึงเป็นไปในลักษณะการใช้อำนาจ หรือ การสร้างวาทกรรมเพื่อสร้างความชอบธรรมในการต่อรองความสัมพันธ์กันยังคงมีอยู่ต่อไป ซึ่งบทบาทของผู้หญิงได้พยายามที่จะลดช่องว่างเหล่านี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ ภรรยาสามารถสร้างเงื่อนไขที่ต่อรองกับสามีได้ จนบางครั้งสามารถมีอิทธิพลเหนือสามีได้อีก ดังหน้าปกของมติชนรายสัปดาห์ มีคำโปรยว่า " ดีล 2 ซังกุง สูงสุด โฮชิน – พจมาน " มันสามารถบ่งบอกนัยยะได้ว่า ผู้หญิง 2 คนนี้มีอำนาจเหนือกว่าผู้ชายเสียอีก


ในความคิดของผม หากผู้หญิงสามารถเข้าถึงการศึกษาได้อย่างไม่แพ้ผู้ชายตั้งแต่อดีต จนนักคิดของโลกมีผู้หญิงและผู้ชายในสัดส่วนที่ไม่ต่างกันมากเช่นทุกวันนี้ ผู้ชายคงจะไม่สามารถสร้างเงื่อนไขการใช้อำนาจ รวมถึงสร้างความชอบธรรม (โดยตัวผู้ชายเอง) ที่จะมากดขี่ผู้หญิงได้ดังเช่นทุกวันนี้ เงื่อนไขความสัมพันธ์ในปัจจุบันคงเปลี่ยนไปอีกรูปในรูปแบบ แต่คงไม่สามารถต่อรองกันได้อย่างเบ็ดเสร็จเสียทีเดียว เพราะผู้ชายยังคงมีไพ่เด็ดในการสร้างสถานะชนชั้นปกครองด้วยวิธีดั้งเดิม นั่นคือ กำลังเพียงแต่ผู้ชายจะใช้สิ่งนี้ในการสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจได้ในระดับใด ย่อมขึ้นอยู่กับบริบทของสังคมและยุคสมัยนั้น หรือถ้าพูดในแบบหลักเศรษฐศาสตร์ นั่นคือหากสังคมในยุคสมัยนั้น มี Demand ในผู้ชายสูง ดังเช่นในยุคสงคราม สถานะของผู้หญิงยังคงไม่สามารถก้าวข้ามพ้นผู้ชายไปได้ เพราะผู้หญิงยังคงไม่สามารถ ออกไปสู้รบได้ แต่หากบ้านเมืองมีความสงบสุข โอกาสที่ผู้หญิงจะมีสถานะข้ามพ้นผู้ชาย ย่อมมีสูงขึ้น นั่นคือการลดโอกาสการใช้กำลังของผู้ชายให้น้อยลงนั่นเอง การแก้ปัญหานี้ผมมองว่า มันอยู่ที่ผู้หญิงจะปลดแอกพันธนาการด้วยกำลังของผู้ชายได้ในระดับไหน หรือสร้างอำนาจ หรือความชอบธรรม ให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้หญิงเองได้มากน้อยเพียงใด ปัจจัยทางด้านการศึกษา เพื่อสร้างความยอมรับในสังคม ถือเป็นตัวชี้วัดได้ดีในระดับนึงเลยทีเดียว (ป.ล. ผู้หญิงในอนาคตอาจจะโคลนผู้หญิงที่เข้มแข็งกว่าผู้ชาย แล้วส่งย้อนเวลา เข้าไปในอดีต ทำให้ผู้หญิงเป็นนักรบแล้วผู้ชายเฝ้าบ้านแทน คำถามสำหรับเรื่องข้างต้นอาจเปลี่ยนเป็น หากผู้ชายเป็นผู้คิดค้นเทคโนโลยีแทนผู้หญิง แล้วจะลดการกดขี่ของผู้หญิงที่มีต่อผู้ชายก็เป็นได้ 55)