Friday, July 28, 2006

ตอนนี้แด่ไอ้เจ…..ยอดสุนัขพันธุ์ทรฮึด



วันนี้ขอพูดถึงไอ้เจหมาที่บ้านผมซักวันนะครับ

จะไม่พูดถึงมันก็คงไม่ได้ เพราะวันนี้มันตายไปซะแล้ว ตอนเช้าเลย แต่การไปของมันก็เป็นอะไรที่ไม่ผิดความคาดหมายมากนัก เพราะด้วยวัยขนาดนั้น อยู่ได้เท่านี่ ถือว่าพี่แกทนได้มากๆแล้ว

ไอ้เจเป็นสุนัขพันธุ์อาเซเชี่ยนอายุประมาณ 10-11 ปี รูปร่างหน้าตาดี แต่เสียทีเป็นหมาซิง (เกี่ยวมั๊ยเนี่ย ฮ่าๆ) นอกจากความซิงแล้ว ไอ้เจเป็นหมาที่ฉลาดใช่ย่อย แต่เสียอย่างที่อบรมยากฉิบหาย เพราะพูดอะไรไปก็ไม่ค่อยฟัง อิอิ

บ้านของผมเลี้ยงมันมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ เจเป็นหมาที่รัก รักเจ้าของมาก เดินออกจากบ้านเอาขยะไปทิ้งสิบวินาที พอเดินกลับเข้าบ้านมา เจจะยินดีกลับการกลับมาใหม่ของเรามาก ดังนั้นถ้าไปหนองคายซักสามสี่วันนี่ไม่ต้องพูดถึงครับ ตอนขนของเข้าบ้านมันก็จะมาคอยช่วยเหลือโดยการตะกุยตะกายเราอย่างไม่มีหยุดหย่อน

ตอนสมัยก่อนที่เจยังคึกๆ นี่ผมจะออกจากบ้านลำบากมากครับ พอจะเดินออกจากบ้านไอ้เจก็จะมาคอยกระโดดใส่ ยิ่งวันฝนตกๆนี่ โอวว กระโดดใส่เสื้อนี่เลอะเลยครับ แน่นอนผมต้องกลับเข้าไปเปลี่ยนใหม่ตามระเบียบ

แต่เข้าใจว่านั่นเป็นธรรมชาติของสุนัขครับ ความซื่อสัตย์ความรักเจ้าของล้วนเป็นคุณสมบัติอันโดดเด่นของสัตว์เลี้ยงประเภทนี้ โดยเฉพาะกับไอ้เจ หมาใจดีตัวนี้ มีสองสิ่งนี้อย่างล้นปรี่ทีเดียว

เจเป็นสุนัขที่ฉลาดครับ ขนาดไม่มีใครสอนมันมันยังสามารถขับถ่ายเป็นที่ทางได้ พอเวลากินเสร็จปุ๊บ มันก็จะวิ่งไปอึ๊อีกด้านของบ้านที่เป็นสนามหญ้า ไม่มีการอึ๊ใส่พื้นปูนให้ตามเก็บให้น่ารำคาญ แต่เสียอย่างเดียว ไอ้เจกลัวน้ำมาก เวลาจะเอามันมาอาบน้ำทีนี่ยากลำบากเหลือเกิน ต้องล่อหลอกสารพัดกว่าเล่นเอาคนอาบหอบแดกเลยทีเดียว

นอกจากนั้นไอ้เจยังแสนรู้สามารถเล่นบาสเกตบอลกับผมได้ด้วย ที่บ้านผมมีแป้นบาสครับ ตอนเช้าๆ หรือไม่ก็เย็นๆ ถ้าเวลาเหมาะเจาะ ก็จะเล่นบาสฯกับไอ้เจ กติกาก็ไม่ยากครับ ถ้ามันแย่งได้เอาไปเลยหนึ่งแต้ม ถ้าผมชู้ตลงก็ได้หนึ่งแต้มเท่ากัน เล่นกันสิบลูกเกม แต่ส่วนมากไอ้เจกินผมไม่ลงหรอกครับ ไม่เคยเอาชนะผมได้เลย ฮ่าๆ (ก็มันเป็นหมานี่หว่า) อีกอย่างต้องระวังให้มากเลยครับ ถ้าโดนมันแย่งบอลไปได้นี่เสร็จแน่นอน มันกัดบอลพังมาหลายลูกแล้วเหมือนกัน

การใช้ชีวิตระหว่างครอบครัวของผมและไอ้เจก็ดำเนินไปเรื่อย ผันเปลี่ยนแปรไปตามกาลเวลาตั้งแต่ตอนมันเป็นหมาเด็ก จนกลายเป็นหมาหนุ่ม จากหมาหนุ่มกลายเป็นหมาแก่ และจากหมาแก่ก็ต้องกลายเป็นหมาตาย........

ที่อยากจะเล่าก็คือตอนช่วงบั้นปลายชีวิตของเจไม่ค่อยจะสู้ดีซักเท่าไรนัก สุนัขพันธุ์นี้ข้อเสียคือขาหลังจะไม่ค่อยแข็งแรงครับ (บ้านผมเรียกว่าขาแด้) ตอนเด็กๆไม่เป็นไร แต่พอเริ่มแก่ตัวมันเริ่มเดินแบบซะเงาะซะแงะแฮะ บำรุงอย่างไรก็ไม่ขึ้น แถมไอ้เจยังมีโรคหัวใจเป็นโรคประจำตัวอีก จนหมอต้องบอกว่าไม่ให้มันออกกำลังกายหนัก ดังนั้นกีฬาบาสเกตบอลอันแสนโปรดของผมกับมันจึงต้องงดเว้นไปโดยปริยาย

สังขารของมันก็ร่วงโรยไปเรื่อยๆครับ จนพักหลังๆ มานี่มันเดินไม่ค่อยได้แล้วครับ ขาหลังหมดสภาพโดยสมบูรณ์ต้องคอยแต่พึ่งยาหัวใจของหมอเพื่อที่จะทำให้มันอยู่ได้ เพราะหมอเองก็บอกว่าจริงๆถ้าไม่ได้ยาหัวใจมากินนี่มันคงไปนานแล้ว ดูๆไปแล้วหมอก็คงพูดถูกครับ เพราะสภาพมันร่อแร่เหลือเกิน

แต่อาการของมันมีแต่ทรงกับทรุดครับ ตอนหลังมันถึงขนาดที่ว่าหมดเรี่ยวแรงไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวไปไหนได้ และแล้วสิ่งที่น่ากลัวก็ตามมา นั่นคือไอ้เจเริ่มมีแผลกดทับครับ ลองได้เป็นแล้วไม่มีหายแน่ๆ

โดยเฉพาะตรงสะโพกแผลของมันมีแต่จะแย่ลงๆ ผมเองก็ไม่รู้จะทำยังไงก็ได้แต่ดูแลไปตามอาการ ทุกวันๆผมกับน้องจะต้องคอยกลับข้างไอ้เจเช้าเย็น เพื่อสลับด้านแผลให้ขึ้นมาโดนอากาศมั่ง แน่นอนว่าเมื่อขยับเขยื้อนตัวไปไหนไม่ได้การขับถ่ายของมันก็ต้องกองมันอยู่ตรงนั้นแหละครับ ก็ต้องคอยเก็บขี้เก็บเยี่ยวมันไปตามสภาพ ตอนทำแผลก็แสนจะปลง เพราะแผลมันเหวอะมากเลยครับ เวลาจับพลิกบางทีหนองนี่ทะลักนองเลย ผ้ากอซหมดทีหลายแผ่นเหมือนกัน

แต่ไอ้เจเป็นหมาอดทนครับ มันไม่ยอมตายง่ายๆ ถ้าผมเป็นมันผมคงขอไปดีกว่า แต่นี่มันสามารถอยู่ในสภาพพะงาบๆแบบนั้นได้ร่วมปี ถือว่าทรหด ทรฮึดใช่ย่อยเลยทีเดียว ซึ่งคุยกับหมอและเพื่อนผมที่เป็นเรียนสัตวแพทย์มาก็ให้ความเห็นเดียวกันนั่นก็คือ อาการแบบนี้ยังไงก็มีแต่ทรงกับทรุดอยู่ที่มันแล้วล่ะว่าจะอยู่ได้นานขนาดไหน

จนมาช่วงเดือนนี้แหละครับที่มันเริ่มหมดแรงโดยสมบูรณ์ กล่าวคือไม่สามารถพยุงตัวเองขึ้นมานั่งได้เลย แผลกดทับตามตัวก็เริ่มมีมากขึ้น ผมก็ต้องคอยทำแผลมันเพิ่มไปอีก แต่ทำยังไงก็ไม่หาย มีแต่แผลใหม่ๆโผล่หมา ไอ้ตัวหมาเองก็เริ่มโรยราหมดแรงไปเรื่อยๆ ถึงขนาดต้องคอยพยุงป้อนข้าวป้อนน้ำมันเลยทีเดียว เพราะมันไม่สามารถที่จะกินเองได้แล้ว

บางทีผมก็คิดในใจว่าอยากจะให้มันไปเหมือนกัน เพราะเห็นมันแล้วทรมานแทนครับ แต่ไอ้เจก็อึดผิดคาด ยังไงมันก็ไม่ยอมไป เราคนที่แข็งแรงอยู่ก็ต้องคอยดูแลมัน แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าจริงๆแล้วผมไม่ใช่คนรักสัตว์อะไรมากมายนัก แต่ทำไงได้ครับ เราเอามันมาเลี้ยงแล้วก็ต้องดูแลรับผิดชอบให้เต็มที่ ซึ่งผมพูดได้เต็มปากเลยว่าพักหลังๆมานี่ผมค่อนข้างดูแลมันเยอะที่สุดเลยแฮะ เพราะผมเป็นคนว่างงานคนเดียวในบ้าน (ฮ่าๆ) พ่อแม่ไปทำงาน น้องไปเรียน น้องอีกคนก็ไปทำงาน เหลือผมอยู่บ้านคนเดียว เลยได้มีเวลาอยู่กับไอ้เจเยอะหน่อย

จริงๆแล้วก็เคยติดต่อทางโรงพยาบาลเหมือนกันว่ากรณีแบบนี้จะทำอย่างไรดี แต่หลังจากปรึกษาแล้วไม่ไหวครับ ทางโน้นแนะนำให้เอามันไปนอนในโรงพยาบาล ซึ่งค่าใช้จ่ายในการดูแลนี่ไม่เบาเลยทีเดียว บอกตามตรงเลยว่าที่บ้านผมไม่สามารถรับได้ไหวครับ สุดท้ายแล้วจึงต้องกลับมาใช้แนวเดิมก็คือดูแลกันเองต่อไป

เมื่อคืนถือได้ว่าเป็นจุดไคลแมกซ์ในชีวิตไอ้เจเลยทีเดียว พอกินข้าวเสร็จไปตามปกติ ซักพักมันอาเจียนออกมาหมดเลยครับ จริงๆแล้วก่อนหน้านี้ก็เคยมีอาการแบบนี้แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรมาก แต่นี่เริ่มผิดปกติตรงที่ว่ามันอาเจียนออกมาอีกครั้งครับ แต่สำหรับผมเองก็มองว่ามันก็คงใกล้ถึงเวลาแล้วล่ะ ร่างกายเริ่มไม่รับอาหารเข้าไปแล้ว

แต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ เพราะเมื่อเช้าแม่ผมไปปลุกขึ้นมาบอกว่าไอ้เจนอนนิ่งเลย ออกไปดูก็เลยได้ความว่ามันตายเสียแล้ว เมื่อเช้านี่เองครับ สดๆร้อนๆ ก็ถือว่ามันได้ไปดีแล้วล่ะครับ เกิดชาติหน้าภพหน้าก็ขอให้มาเจอกันอีกละกัน หลังจากนั้นก็จัดแจงช่วยกันขุดหลุมฝังมันเสีย

หลังจากนี้ก็อาจจะไปทำบุญให้มันนิดหน่อย อุทิศส่วนกุศลให้มัน ซึ่งการไปของไอ้เจแม้ผมจะไม่ได้ร้องไห้เลยซักแหมะ แต่วันนี้ก็รู้สึกเหงาๆแฮะ บ้านตอนไม่มีมันนอนเกะกะอยู่ดูโล่งๆชอบกล อย่างว่าแหละครับมันอยู่กับบ้านเรามานับสิบปี พอไม่มีมัน ก็ต้องเหงากันพอสมควร ซึ่งนอกจากผมแล้ว แม่กับน้องก็บ่นอารมณ์ประมาณเดียวกันนี่แหละ

แต่ถึงมันจะไปแล้ว มันก็ได้ทิ้งบทเรียนสำคัญเอาไว้ให้ผมครับ คนเราเกิดมา จะเป็นคนหรือหมาก็ช่าง ชีวิตนึงเราต้องอดทนครับ ดูตัวอย่างไอ้เจ ที่แม้นว่าเผชิญโรคภัยคุกคาม สังขารไม่ให้ แต่ก็ยังสามารถอดทนทรหดอยู่มาได้นานนับสิบปี ซึ่งเป็นช่วงอายุที่นานมากสำหรับหมา

ช่วงเวลาที่ผมอยู่กับมันมีเล่นกันบ้าง มีด่ามันบ้าง รำคาญมันบ้าง ขนาดตอนมันร่อแร่ยังสามารถสร้างความป่วนได้เลยครับ บางทีเอาขาตะกายไอ้โน่นไอ้นี่หกเลอะเทอะ ไม่เบาจริงๆ หมาตัวนี้ แต่ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์แบบไหนพอย้อนกลับไปคิดมันทำให้เราได้รู้เลยว่า ณ ตอนนี้ครอบครัวเราขาดสีสันสำคัญไปเสียแล้ว........

นอกจากบทเรียนเรื่องความอดทนสู้ชีวิต การที่เราได้เห็นการตายของมันทำให้เรารับรู้ถึงความเป็นไปของสัตว์โลกทั้งมวล เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีใครหนีวงจรนี้ไปได้อย่างแน่นอน เมื่อคิดได้แบบนี้มันก็ทำให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมีสติ รู้จักอยู่อย่างมีคุณค่า มีความสุขอย่างพอประมาณ เพราะตายไปสุดท้ายก็โดนเผาโดนฝัง ก็เท่านั้น

สุดท้ายนี้ขอแผ่เมตตาให้กับไอ้เจ หมาพันธุ์ฮาร์ด โคตรฮึด ให้มันได้ไปสูสุขคติ ไปที่ชอบๆ สำหรับช่วงเวลาสิบปีที่อยู่ด้วยกับมากูจะไม่ลืมมึงเลยเว้ย

ลาก่อน ไอ้เจ....ยอดสุนัขพันธุ์ทรฮึด!!!




Tuesday, July 18, 2006

หนองเอย....หนองคาย



วีรกรรมปราบฮ่อ หลวงพ่อพระใส สะพานไทยลาว......

วันนี้ Mr.Gelgloog ขอใช้โอกาสพูดถึงเรื่องจังหวัดที่บอกได้เลยว่าสำหรับผมแล้ว เป็นจังหวัดที่ใกล้ชิดกับตัวเองจังหวัดหนึ่งมากเลยทีเดียว (แม้ว่าแม่งระยะทางจะไกลมาก ฮ่า) ซึ่งหลายๆคนคงรู้จากคำขวัญประจำจังหวัดที่ได้จั่วหัวเอาไว้แล้ว ซึ่งก็คือจังหวัด “หนองคาย” นั่นเอง

ที่ว่าใกล้ชิดนั่นก็เพราะว่าท่านพ่อของผมเป็นคนหนองคายแท้ๆ ตั้งแต่กำเนิดเลยทีเดียว ซึ่งตระกูลผมก็มาตั้งรกรากอยู่หนองคายตั้งแต่สมัยคุณพ่อของคุณย่าโน่นแหละ (พูดสั้นๆก็คือท่านทวด) ถ้าจำไม่ผิดยศทางตำรวจจะชื่อว่า จมื่นชอบ ระวังการ (มั๊งนะ ส่วนชื่อจริงนี่ลืมไปแล้วแฮะ ใครอยากรู้ไว้ผมจะไปถามพ่อผมดูให้ละกันนะ)

คุณทวดได้โยกย้ายจากกาฬสินธุ์มาตั้งรกรากที่หนองคายจนถึงทุกวันนี้ บรรดาอาๆบางส่วนก็ยังคงอยู่ที่โน่น และก็มีบางคนที่ย้ายมาตั้งรกรากที่กรุงเทพฯ (เช่นพ่อผมเป็นต้น) แต่ถึงแม้ว่าจะอยู่กรุงเทพฯ ที่บ้านผมก็ยังขึ้นไปเยี่ยมทางโน้นปีละครั้ง ถึงสองครั้ง และอาจจะถึงสามครั้งถ้าฟิตพอ ดังนั้นแล้วผมจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับจังหวัดหนองคายพอสมควรเลยทีเดียว สมัยเด็กๆพอปิดเทอมปุ๊บ ก็จะขึ้นไปอยู่กับคุณปู่ คุณย่า แต่พักหลังพอโตมาด้วยภารกิจเรื่องเรียนและกิจกรรมอะไรหลายๆอย่างทำให้ไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมที่โน่นเท่าที่ควร

จนมาถึงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง ผมได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมหนองคายอีกครั้ง แต่เป็นโอกาสที่ไม่ใคร่จะดีนักเพราะคุณปู่ของผมป่วยหนักนอนอยู่ห้องไอซียูที่โรงพยาบาลในอุดรธานี ทางบ้านจึงต้องรีบรุดมาโดยด่วน ซึ่งสำหรับอาการของปู่ผมก็ไม่ดีมานานแล้วล่ะครับ ถึงตอนนี้ก็ต้องทำใจกันลูกเดียว เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีใครหนีพ้นวังวนนี้ไปได้อย่างแน่นอน

แน่นอนว่าภารกิจหลักของผมก็คือการกลับไปเยี่ยมเยียนผู้เฒ่าผู้แก่ แต่ภารกิจรองของผมก็เป็นสิ่งที่ลืมไม่ได้เช่นกัน นั่นก็คือผมกับน้องมักจะตระเวนเที่ยวเมืองหนองคายประจำ

หนองคายเองก็ได้ชื่อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวแห่งหนึ่งเหมือนกัน ซึ่งคิดว่าโด่งดังมาจากปรากฏการณ์ธรรมชาติอันแสนลึกลับนั่นก็คือบั้งไฟพญานาคนั่นเอง ถึงเทศกาลนี้ทีไร โอ้ยคนมืดฟ้ามัวดินมากันเต็มไปหมด สำหรับผมเองก็เคยเห็นมากับตาแล้วครับ มันน่าตกใจจริงๆ อยู่ก็มีลูกไฟสว่างวาบโผล่ฟุ่บขึ้นมาจากน้ำเฉยเลย ใครสนใจก็ไปกันได้ครับที่ อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ห่างจากตัวเมืองไปนิดหน่อยครับ ประมาณไม่กี่สิบกิโลเมตร ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นช่วงประมาณเดือนตุลานะครับ

หรือถ้าใครชอบเที่ยวภูเขาก็ไม่ควรพลาดครับ ที่ กิ่ง อ.บุ่งคล้า ค่อนข้างไกลจากตัวเมืองและห่างจากความเจริญพอสมควรเลย (พอดีอาของผมเป็นรายอำเภอที่นั่นเลยมีโอกาสได้ไปเยี่ยม) แต่ถ้าไปที่ภูวิวโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนหน้าหนาวนี้รับรองต้องประทับในแน่นอนครับ ความเป็นธรรมชาติที่นี่ยังหลงเหลืออยู่เยอะมากเลยทีเดียว แต่เสียอย่างเดียว ปีนลำบากฉิบเป๋งเลย ฮ่าๆ แต่คนที่เคยไปภูกระดึงบอกว่าที่นี่ยังเบากว่าภูกระดึงเยอะครับ

ภูทอก ที่ อ.ศรีวิลัย ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่น่าสนใจครับ ขึ้นไปกราบนมัสการพระอาจารย์จวน สำหรับทางขึ้นที่นี่ไม่โหดหินเท่าภูวัวครับ แต่ก็มีให้เสียวเหมือนกันเพราะต้องขึ้นบันไดสูงไปกว่าเจ็ดชั้น ไอ้ชั้นล่างๆไม่เท่าไหร่หรอก พอชั้นบนๆนี่มีเหวอแดกครับ เพราะเป็นแง่งบันไดไม้เกาะอยู่ข้างๆภู มองลงล่างไปทีนี่แทบลมจับครับ แต่เมื่อขึ้นไปถึงบนสุดแล้วจะสงบร่มเย็นอย่างไม่น่าเชื่อ บรรยากาศน่างีบกลางวันเป็นที่สุด

แต่ครั้งล่าสุดที่ได้ไปนี่ผมไม่ได้ออกไปไหนไกลครับ เพราะต้องเทียวไป – กลับ อุดร – หนองคาย เลยได้ไปแต่ที่ใกล้ๆ และตระเวนเที่ยวตัวเมืองยามค่ำเท่านั้นเอง ซึ่งเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่ายามค่ำคืนของหนองคายมีอะไรบ้าง

หนองคายเป็นจังหวัดที่น่าอยู่ใช่ย่อยนะครับ ไม่ใช่แต่เฉพาะกับคนไทยด้วยกันเอง หากรวมไปถึงในสายตาของชาวต่างชาติด้วยถึงขนาดที่นิตยสาร Modern Maturity เคยจัดอันดับเอาไว้ว่าหนองคายเป็นเมืองที่น่าอยู่เป็นอันดับ 7 ของโลกเลยทีเดียว

ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่เราจะเดินเฉี่ยวกับฝรั่งตาน้ำข้าวที่หนองคาย บางคนไม่ได้มาเที่ยวเฉยๆ พี่แกกะมาตายที่นี่ก็ยังมี มีเยอะนะครับพวกที่ปลดเกษียณตัวเองแล้วมาพำนักอยู่ที่หนองคาย ที่บ้านเช่าของคุณย่าผมก็เคยมีฝรั่งแบบนี้มาพักเหมือน และก็คงสมใจแก เพราะแกไหลตายคาห้องเลยครับ เห้อ.....

ไอ้เรื่องการจัดอันดับโดยสมาคมผู้เกษียณอายุอะไรนั่นผมเฉยๆครับ สำหรับผมหนองคายก็ยังคงเป็นเมืองที่น่าอยู่เสมอ เพราะเป็นเมืองที่เงียบสงบ อาหารอร่อย แถมถูกอีกต่างหาก แต่อาจจะไม่ถูกใจสำหรับคนที่ชอบชีวิตยามราตรีซักเท่าใดนัก เหตุผลก็คงอยู่ที่ความเงียบสงบอันสุดยอดของเมืองหนองคายยามราตรีนั่นเอง

ตอนกลางคืนที่โน่นเงียบมากครับ แค่สามทุ่มก็เริ่มเวิ้งว้างแล้ว จะมีจุดที่คึกคักบ้างก็คงจะอยู่ที่แผงขายอาหารต่างๆในเมือง แต่รับรองว่าไม่เกินสี่ทุ่มปิดเรียบแน่นอน อีกที่หนึ่งที่คึกคักก็คงจะเป็นโซนถนนริมแม่น้ำโขงครับ เพราะจะเรียงรายไปด้วยร้านเนื้อกระทะ (เนื้อย่างเกาหลีนั่นแหละ) ร้านจิ้มจุ่ม (นอกจากตรงริมโขงมีร้านนึงเด็ดมากตรงแถวๆสถานีรถไฟ น้ำซุปนี่หวานอร่อยมากทีเดียวได้ข่าวว่าเค้าใช้น้ำมะพร้าวอ่อนมาต้มทำเป็นน้ำซุป ไอ้เราตอนแรกก็นึกว่าใส่อะไรผิดปกติหรือเปล่าว้า เพราะมันอร่อยเกินควร ฮ่าๆ) ร้านขายนมปั่น รวมไปถึงร้านเหล้าปั่น แต่โซนนี้ก็คึกคักได้ไม่นานครับ สี่ทุ่มก็เริ่มหงอยกันแล้ว

สังเกตได้เลยว่าคนหนองคายชอบกินเนื้อกระทะมากครับ แถมที่โน่นก็รสดีใช้ได้ ร้านเนื้อกระทะริมโขงนี่ตั้งเรียงรายกันเต็มไปหมดจนไม่อยากจะนับเลย ทีเด็ดอีกอย่างก็คือมีเนื้อกระทะ delivery ด้วย ใช่ย่อยนะเนี่ย เพียงแค่คุณโทรสั่งไป ของก็จะมาส่งถึงที่พร้อมอุปกรณ์ย่าง แน่นอนว่าต้องมีเชื่อเพลิงซึ่งก็คือถ่านให้ด้วย ตอนก่อเตาก่อนกินก็สนุกไปอีกแบบ

มาที่โซนริมโขงต่อ สำหรับผมคิดว่ามุมนี้เหมาะสำหรับที่จะนั่งจิบอะไรยามค่ำครับหม่ำเนื้อกระทะเสร็จก็อาจจะหาอะไรเย็นๆดื่มสร้างความมึนให้กับศีรษะเสียหน่อย หรือจะนั่งดื่มนมปั่นหวานมันก็ดีไปอีกแบบครับ แต่ต้องขอบอกไว้อย่างหนึ่งว่าร้านนมที่นี่เป็นแบบเรียบง่ายครับ ปูเสื่อนั่งกับพื้น วันไหนอากาศร้อนมากเวลานั่งก็จะรู้สึกอุ่นๆที่ก้นหน่อยล่ะครับ ถือว่าได้บรรยากาศไปอีกแบบ

ส่วนเรื่องราคานี่ไม่ต้องห่วงครับ ไม่แพงเลยครับ รับรองกินอิ่มเมาหลับสบายกระเป๋าแน่นอน

อย่างที่บอกครับว่าหนองคายมันออกจะมาแนวสงบซักหน่อย ขนาดที่ว่าช่วงสงกรานต์สองสามทุ่มก็เงียบสงัดแล้ว ไอ้พวกที่กินเหล้าเย้วๆ กันตอนกลางวันก็กลับไปนอนหมด คนเมืองนี้เที่ยงตรงกับเวลานอนมากครับ (คิดไปเองป่าววะ) ดังนั้นถ้าหากใครชอบความคึกครื้นก็ควรขับรถไปที่อุดรธานีซึ่งเป็นจังหวัดข้างเคียงครับที่นั่นค่อยข้างจะมีสถานที่ยามกลางคืนเยอะทีเดียว

อ้อ เกือบลืมไปครับ ของกินที่อร่อยของหนองคายนอกจากจะเป็นเนื้อกระทะแล้ว ยังมีพวกปลาแม่น้ำที่อร่อยเป็นที่สุดครับ ครั้งล่าสุดที่ผมไปมานี่ได้ไปกินที่ อ.โพนพิสัยครับ มีปลาแข่ (แต่เค้าจะเรียกกันว่าปลาแค่) สดๆพึ่งขึ้นมาจากแม้น้ำเลยตัวประมาณซัก 3-4 โลได้ เนื้อนี่เหลืองมันอร่อยเชียวครับ ไม่ว่าจะเอาไปทอด ไปหมก ไปลาบ โอ้ย ทำอะไรก็อร่อยไปหมด คิดแล้วอยากไปอีกจริงๆเลยพับผ่าดิ

นอกจากอาหารอร่อยแล้ววิวยังดีอีกครับ เพราะร้านทีไปกินนี่อยู่ริมโขงเลย เห็นแม่น้ำโขงเต็มๆ อีกทั้งตรงนั้นเป็นช่วงของแม่น้ำที่มีน้ำไหลจากเขื่อนน้ำงึมฝั่งลาวมารวมผสมกันเหมือนเป็นสามแยกน่ะครับ ช่วงยามเย็นเราจะเห็นสีตัดกันระหว่างน้ำโขงสีแดงกับน้ำสีม่วงจากฝั่งลาวครับ เป็นทัศนียภาพที่น่าชมจริงๆ

จริงแล้วที่เที่ยวของหนองคายยังมีอีกเยอะครับ แต่ตอนนี้ผมคิดไม่ออกเองแหละ ฮ่าๆ ไว้ถ้ามีโอกาสจะทยอยมาบอกเล่าเก้าสิบกันนะครับ สำหรับใครที่คิดอยากไปเที่ยวหนองคายก็ลองดูครับ เดินทางไกลซักหน่อย แต่ถ้าอยากนั่งเครื่องบินก็มีครับนั่งไปลงที่อุดรฯก่อนแล้วต่อรถตู้เข้าเมืองหนองคายได้ ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับงบประมาณล่ะว่าจะเดินทางแบบไหน

สำหรับคราวนี้ผมคงต้องขอลาไปก่อน

ว่าแต่พักนี้ blog เรามีแต่เรื่องเรื่อยเปื่อยแฮะ อิอิ

ป.ล.

สำหรับที่สนใจข้อมูลจำเพาะของจังหวัดหนองคาย ประวัติศาสตร์ความเป็นมา หรือเรื่องอื่นๆ เชิญคลิกได้ที่นี่เลยครับ มีข้อมูลอย่างครบถ้วน

Thursday, July 06, 2006

เรื่อยเปื่อยเรื่องฟุตบอลกับ Mr.Gelgloog


กราบสวัสดีมิตรรักแฟนเพลงครับ หลังจากที่ Mr.Gelgloog หายไปนาน..........(จริงๆมันก็ขี้เกียจ up เป็นประจำอยู่แล้ว ฮ่าๆ)

เพื่อให้รับกับเทศกาลบอลโลก วันนี้ขอเล่าเรื่องเบาๆก็แล้วกัน
สำหรับผมเองไม่ได้เป็นแฟนบอลอะไรเป็นเรื่องเป็นราวมากนัก อารมณ์แบบว่าเห่อฟุตบอลโลก ค่อยมาเชียร์กับเค้าซักทีนึง ซึ่งคราวนี้พลพรรคอินทรีเหล็กโชว์ลีลาโดนใจผมเข้าอย่างจัง
เยอรมันยุคคลิ้นซี่เล่นสนุกมากครับ ไม่น่าเบื่อเหมือนในอดีตพี่ผ่านมา เปิดเกมบุกได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ แม้ว่าตัวผู้เล่นจะไม่ได้มีลีลาพริ้วไหวเหมือนแซมบ้า แต่มีลูกบุกที่ดุดัน ดูแล้วมันส์ลูกกะตาจริงพับผ่าดิ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายบอล timing การถ่างโซนเปลี่ยนข้างอะไรทำได้ฉับไวมาก ทีเด็ดก็คือทีมนี้แม่งยิงไกลได้เกือบทุกตัวเลยมั๊ง เอาเป็นว่าถ้าเยรอมันทำเกมบุกขึ้นมาเมื่อไหร่ ต้องมีได้จบแน่นอน (แต่เข้าไม่เข้าก็อีกเรื่องนะ เหอ เหอ)
แม้เกมรับในแมทช์แรกจะมีปัญหานิดหน่อย แต่ตอนหลังเจ้าฉลามขาวก็ปรับทัพจัดขบวนให้เข้ารูปเข้ารอย จนเยอรมันกลายเป็นทีมเต็งทีมหนึ่งเลยล่ะที่จะคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก
สรุปก็คือทีมเยอรมันเล่นโดนใจผมมากครับ ตั้งแต่แมทช์เปิดสนามที่ดูใจก็บอกเลยว่าเที่ยวขอตามอินทรีหล็กคว้าถ้วยบอลโลกซะหน่อยเถิดน่า ซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวังครับ โดยเฉพาะแมทช์เจอสวีเดนนี่ โอวว พระเจ้า มันช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ไปกินโจ๊กกับเพื่อนกลับมาเปิดทีวี 2 - 0 แล้ว อะไรมันจะแกร่งขนาดนั้น
จนมาถึงรอบเจออิตาลี ซึ่งผมเองเชียร์เยอรมันสุดใจขาดดิ้นอยู่และคิดว่าแม้ว่าจะคู่คี่เพียงใด เยอรมันน่าจะ เบียดทัพอัซซูรี่ไปเข้าชิง
แต่แมทช์นี้เองทำให้ผมแทบแดดิ้น........
ถ้าจะพูดอย่างตรงไปตรงมาผมเองไม่ค่อยชอบทีมอิตาลีเท่าไหร่นัก แบบว่ารำคาญแทกติกมันหวะ ดูมันเล่นแล้วแสนจะน่าเบื่อ พอยิงเข้าไปลูกนึงก็อุดซะมืดฟ้ามัวดินรอสวนเค้าท์เตอร์อย่างเดียว จังหวะบอลไม่อยู่กับตัวก็เร่ง press เค้าซะ บีบเค้าซะจนเอาบอลมาได้ พอบอลอยู่กับตัวก็นะ เล่นลิงชิงบอลชิ่งไปชิ่งมา เอากะมันดิ แถมเรื่องนอกเกมนี่ไม่ต้องสืบเลย การพุ่งล้มทิ้งตัวนี่แสนจะธรรมดามาก ไหนจะเรื่องถ่วงเวลาอีก สารพัดที่จะพูดจริงๆ (ขอโทษแฟนบอลอิตาลีด้วยจริงๆ)
โดยเฉพาะแมทช์เจอออสเตรเลีย อีตากรอซโซ่ก็ทำลงไปได้ ผมนี่ถึงกับรับไม่ได้จริงๆพัยผ่าดิ แต่นี่เป็นมุมมองจากสายตาผมนะ คนอื่นจะว่ายังไงก็แล้วแต่มุมมองละกันนะครับ
ดังนั้นแมทช์ อิตาลี เยอรมันนี่ไม่ต้องห่วงเลยผมถือหางเยอรมันเต็มข้อ รีบชวนพรรคพวกมาดูร้านประจำแถวบ้านทันที ซึ่งก็เป็นแฟนบอลอิตาลีเสียเป็นส่วนใหญ่
เกมนี้เล่นกันมันส์มากครับ อิตาลีก็ดันเล่นไม่น่าเบื่ออีก เปิดเกมแลกกันอย่างสมศักดิ์ศรี สำหรับคู่นี้ตอนดูอยู่เวลาผ่านไปไวมากครับ เพราะเล่นกันนี่ไม่มีหยุดหย่อนเลย
เกมการเล่นสูสีต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงทเวลาเจ็บ ซึ่งความปวดร้าวของผมเกิดขึ้น ณ ช่วงนี้เอง อีตากรอซโซ่อีกแล้ว ปั่นลูกซะเนียนโค้งไปเสียบเสา เลห์มันหมดสิทธิ์คว้า โอวววว
ลูกเดียวไม่เท่าไหร่ ยังพอจะลุ้นได้อยู่ แต่ไปๆมาๆ โดนไปอีกลูกซะงั้น เล่นเอาผมหมด feel ไปเลย ซึ่งตรงกันข้ามกับเพื่อนผมมาก ที่กลายเป็นยอดคนไปเรียบร้อย หลังจากที่พี่เดลฯ ซัดลูกสองเข้าไป พี่แกเล่นวิ่งหายไปร้านเลย คงด้วยอารามดีใจมากๆแหละมั๊ง วิ่งหายไปสองสามนาทีได้ครับ เล่นเอาทั้งโต๊ะงงเป็นไก่ตาแตก แถมกลับมาอีกทีรองเท้าแม่งเสือกหายอีก เอ้อ ต้องช่วยกันส่องไฟหารองเท้าแม่งอีก ฮาร์ดฉิบ
ประเด็นสำคัญคือช่วงบอลโลกผมเห็นยอดคนเยอะมาก (ยอดคนก็คือบุรุษหรือสตรี ที่ผ่านการถูกเคี่ยวกรำ ไม่ว่าจะเรื่องใดๆมาอย่างหนักหน่วง) เมื่อวานเลยสดๆร้อนๆ เพื่อนผมที่แม่งติดปลายนวมโปรตุเกสไปนี่ ถึงกับกลายเป็นยอดคนทันทีหลังจากจบเกม คนนึงนอนฟุบลงไปกับพื้นเหมือนโดนตีจากท้ายทอยอย่างแรง อีกคนหนึ่งเอามือกุมหัวหน้าซุกกะโปก เอ้อ........ยอดคน ยอดคน
ก็จะขอฝากเอาไว้นิดหน่อยนะครับว่าจะติดปลายนวมก็เอาแค่พอประมาณ เข้าใจครับว่าการพนันกับวัฒนธรรมไทยเป็นอะไรที่แน่นแฟ้นกันมาก จะมาทำตัวด่ากราดคนที่เล่นก็ใช่ที่ เอาเป็นว่าติดปลายนวมแต่พอประมาณครับ อย่าหวังรวยกับมัน เล่นพอให้ลุ้น เสียก้อไม่เจ๊ง ไม่ใช่มีสองร้อยไปเล่นสองพันแบบนั้นไม่เอานะครับ อิอิ
อีกอย่างก็คือเรื่องสุขภาพครับ ดูแลกันให้ดีๆ ช่วงนี้ผมไม่สบายบ่อยมากเพราะ นอนดึก + ตากฝน ไม่ดีเลยทีเดียว ท่านๆก็ระวังตัวกันด้วยนะครับด้วยความเป็นห่วงจาก Mr.Gelgloog
รักษาร่างกายให้เตรียมพร้อมครับ มีอีกสองแมทช์รอเราอยู่
ขอให้มีความสุขกับเทศกาลบอลโลก