จริงตอนแรกกะจะไม่ up blog ซักสองสามเดือนนะเนี่ย แต่บังเอิญเชคดีเหลือเกินที่ช่วงนี้ได้มีโอก่าทำ Book Review ครั้งแรกในชีวิต ยังไงขอฝากเนื้อฝากตัวสำหรับการทำ Book Review ของผมด้วยนะครับ (เกิดมาไม่เคยทำจริงๆ แต่ที่มีโอกาสได้ทำก็เพราะความจำเป็นบางประการ ฮ่าๆ)
กล่าวคำ
ภายใต้บริบทโลกที่ทั่วทุกอณูสามารถเชื่อมต่อด้วยกันได้อย่างง่ายดาย การหลั่งไหลของวัฒนธรรมอื่นกลายเป็นกระแสหนึ่งที่สังคมไทยจะต้องเผชิญหน้า ดังนั้นแล้วการรับรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมและสังคมภายนอกจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง การ “รู้เขา” จึงถือได้ว่าเป็นกุญแจอันสำคัญที่จะทำให้เราสามารถตระหนักต่อความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้น (และกำลังจะเกิดขึ้น) เพื่อให้เราสามารถปรับเปลี่ยนท่าทีได้อย่างเหมาะสมและสร้างสรรค์ความสัมพันธ์อันก่อเกิดมาจากพื้นฐานความเข้าใจซึ่งกันและกันต่อสังคมภายนอกได้
และภายใต้บริบทดังกล่าวเราคงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า “ญี่ปุ่น” ก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่เข้ามามีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของเรา เนื่องด้วยความสัมพันธ์ที่มีต่อกันมายาวนาน รวมไปถึงการขยายเข้ามาของอำนาจทางเศรษฐกิจญี่ปุ่นผ่านกระบวนการโลกาภิวัตน์ แต่ปัญหาสำคัญที่เราเผชิญอยู่ก็คือการรับรู้เกี่ยวกับ “ความเป็นญี่ปุ่น” ในสังคมไทยเป็นไปอย่างฉาบฉวย อิทธิพลของการศึกษาแบบตะวันตกทำให้โลกทัศน์ที่เรามีต่อญี่ปุ่นเป็นในลักษณะที่ตายตัว (Stereotype) และกรอบสำเร็จอย่างตายตัวนี่ก็เป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะการนำเสนอเรื่องราวที่ยึดเอาโมเดลความสำเร็จของญี่ปุ่นเป็นต้นแบบ
แต่ปัญหาดังกล่าวถูกอุดไว้และเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปโดยอาจารย์อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ ซึ่งได้ประมวลความรู้เกี่ยวกับญี่ปุ่นในแง่มุมต่างๆไว้อย่างกระชับ ทั้งด้านวัฒนธรรม สังคม การเมือง และเศรษฐกิจ โดยผนวกเอามิติทางประวัติศาสตร์เข้าไปเพื่อให้โลกทัศน์ที่มีต่อญี่ปุ่น (ในสายตาเรา) มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
ญี่ปุ่น : ภาพรวมและวิธีการทำความเข้าใจ
สำหรับในหนังสือเล่มนี้ อาจารย์อรรถจักร์เริ่มต้นด้วยการพิจารณาผลพวงอันมาจากมรดกทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าได้ว่าเป็นปัจจัยอันสำคัญที่ก่อร่างสร้างความญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่ทำให้ประเทศญี่ปุ่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและประสบความสำเร็จในหลายๆด้าน ณ จุดเริ่มต้นดังกล่าว ผู้เขียนได้แบ่งการพิจารณาออกเป็นสองส่วน โดยส่วนแรกจะเป็นการมองเงื่อนไขความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์-ภูมิศาสตร์ และส่วนที่สองจะมองมรดกทางประวัติศาสตร์ในฐานะเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาจากเงื่อนไขทางสังคม วัฒนธรรม อำนาจ ในแต่ละช่วงเวลา
ผู้เขียนมองว่าภายใต้สภาพความเป็นเกาะที่ถูกทิ้งอย่างโดดเดี่ยวของญี่ปุ่นนั้นทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “กระบวนการคัดสรร” กล่าวคือการเป็นเกาะที่แยกตัวชัดเจนทำให้ญี่ปุ่นมีความสามารถที่จะเลือก “รับ” หรือ “ไม่รับ” วัฒนธรรมที่มาจากต่างถิ่นได้ง่ายกว่ารัฐที่มีผืนแผ่นดินใหญ่และมีเขตแดนเชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน ซึ่งกระบวนการคัดสรรดังกล่าวมีผลอย่างมากต่อการสร้างสรรค์สติปัญญาของญี่ปุ่น โดยการรับเอาสิ่งที่มีประโยชน์จากภายนอกเข้ามาต่อยอดความรู้และภูมิปัญญาของตน จนท้ายที่สุดแล้วกระบวนการดังกล่าวจะนำมาสู่การ “กลืน” เข้ามาเป็นญี่ปุ่น นั่นคือได้ทำการรับเอาสิ่งต่างๆจากภายนอกเข้ามาเป็นของ “ตัวเอง” ได้อย่างมีพลัง ซึ่งผู้เขียนได้ยกตัวอย่างจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไว้หลายประเด็น แต่กรณีหนึ่งที่ (ผมคิดว่า) น่าสนใจ ก็คือการที่ญี่ปุ่นสามารถรับเอาการ์ตูน (ซึ่งสมัยนั้นถือได้ว่าเป็นสิ่งใหม่และเป็นสิ่งภายนอก) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีประสิทธิภาพเสียจนกลืนเอาการ์ตูนให้กลายเป็นหนึ่งของวัฒนธรรมตนและขยายตัวออกสู่ภายนอกในระยะเวลาต่อมาอย่างกว้างขวาง
มรดกทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือการที่ความสัมพันธ์ระหว่าง “รัฐ” กับ “ท้องถิ่น” มีความเป็นอิสระจากส่วนกลางมาก ทำให้สังคมญี่ปุ่นสามารถพัฒนาความเป็นท้องถิ่นเฉพาะของตนได้อย่างมีพลัง และมีความสามารถในการสืบทอดจิตสำนึกความเป็นชุมชนท้องถิ่นเอาไว้ในระดับสูง ผู้เขียนได้แสดงให้เห็นโดยมองย้อนกลับไปถึงสมัยโตกุงาว่าที่ญี่ปุ่นถูกทำให้เป็นดินแดนปึกแผ่น ซึ่งแม้ว่าจะอยู่ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวส่วนกลางก็ไม่สามารถที่จะลดความเป็นท้องถิ่นของญี่ปุ่นลงได้ แม้ว่าส่วนกลางจะพยายามสร้างกลไกโดยให้บรรดาเจ้าเมืองผู้ครองแคว้นเดินทางมาเอโดะเป็นประจำเพื่อลดทอนการสะสมทรัพย์ (เพื่อที่ต้องการจะลดอำนาจนั่นเอง) แต่ท้ายที่สุดแล้วการสืบทอดอำนาจและความรู้ในตระกูลก็ยังคงเป็นสิ่งที่มีอยู่ จนกระทั่งนำไปสู่การปฏิรูปประเทศในศตวรรษที่ 19
ผู้เขียนได้พิจารณาผ่านเงื่อนไขทั้งสองข้อโดยผนวกเอาหลักฐานทางประวัติศาสตร์เข้าไปเพื่อชี้ให้เห็นว่าการศึกษาทำความเข้าใจญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหมือนดังที่เราเคยทำกันภายใต้แบบแผนที่อธิบายญี่ปุ่นอย่างสถิตย์ (static) ตายตัว ดังนั้นแล้วการอธิบายญี่ปุ่นภายใต้ความเปลี่ยนแปลงจึงเป็นสิ่งที่จะทำให้เราสามารถเข้าถึงความเป็นญี่ปุ่นได้ดียิ่งขึ้น
ดังนั้นเมื่อเริ่มต้นด้วยการพิจารณามรดกทางประวัติศาสตร์ การพิจารณาแง่มุมดังกล่าวจึงกลายมาเป็น hallmark ในหนังสือเล่มนี้ ตั้งแต่เรื่องราวของการทำความเข้าใจพัฒนาการเศรษฐกิจญี่ปุ่น ที่ผู้เขียนพยายามลบล้างภาพความเข้าญี่ปุ่นในลักษณะแบบตายตัว (เช่นการให้คำอธิบายว่าชนชาติญี่ปุ่นเป็นคนขยันจึงประสบความสำเร็จโดยปราศจากพลวัตร โดยไม่ได้มองว่าญี่ปุ่นก็เหมือนเฉกเช่นชาติพันธุ์อื่นที่มีทั้งความขยันและเกียจคร้านคละกันไป) โดยนำเสนอผ่านขั้นตอนทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยเมจิมาจนถึงภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจในช่วงทศวรรษ 1990 รวมไปถึงการให้ภาพพัฒนาการทางการเมืองของญี่ปุ่นที่มีระบบราชการที่เข้มแข็งซึ่งมีรากฐานอันเป็นผลพวงมาจากกลุ่มชนชั้นซามูไรที่ถ่ายโอนตัวเอาเข้ามาสู่ระบบราชการ ซึ่งแม้ว่าญี่ปุ่นจะดำเนินความเป็นไปผ่านยุคสงครามจนมีการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจการเมืองหลายประการแต่ระบบดังกล่าวก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจเรื่องราวต่างๆอยู่สูง
ต่อเนื่องจากเรื่องราวของการเมืองและเศรษฐกิจ ผู้เขียนได้นำไปสู่อีกสิ่งที่น่าสนใจก็คือการที่สังคมญี่ปุ่นสามารถดำรงความเป็น “กลุ่ม” ไว้ได้เป็นอย่างสูงโดยผ่านทางปัจจัยทางประวัติศาสตร์ที่ชุมชนหมู่บ้านในแบบสังคมเกษตรที่จะต้องร่วมมือทำกิจกรรมในทุกๆเรื่องจนก่อให้เกิดความแน่นแฟ้น รวมไปถึงการที่รัฐให้ความสำคัญในการสร้างจิตสำนึกกลุ่มโดยปล่อยให้ให้ชุมชนท้องถิ่นมีความอิสระ และมุ่งกระชับความสำคัญมากกว่าเพื่อเน้นไปในด้านการขูดรีดส่วนเกินจากชุมชน ซึ่งลักษณะจิตสำนึกความเป็นกลุ่มดังกล่าวของญี่ปุ่นมีความเข้มข้นมาก เข้มข้นเสียจนฝังแน่นอยู่ในระบบความนึกคิดของคนญี่ปุ่นโดยทั่วไป มรดกความเป็น “กลุ่ม” ดังกล่าวทำให้คนญี่ปุ่นจะนิยามตัวเองผ่านกลุ่ม หรือสังกัดที่ตนอยู่ มากกว่าที่จะนิยามตัวเองด้วยตัวเอง เช่นในกรณี (ที่ผมเจอในการ์ตูนบ่อยๆ) ก็คือเรื่องของการนัดบอดหรือการดูตัวที่คนญี่ปุ่นจะให้ความสำคัญต่อสังกัดหรือกลุ่มมากกว่าความเป็นตัวตนของคู่ดูตัว โดยให้ความสำคัญกับสังกัดอาชีพหรือสถาบันที่จบการศึกษา มาเป็นอันดับแรก
นอกเหนือจากเอกลักษณ์ทางสังคมแบบกลุ่มที่ชัดเจนแล้ว การนับถือศาสนาของคนญี่ปุ่นก็มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่แพ้กัน ภายใต้รากฐานที่สังคมมีความตึงเครียดสูง ศาสนาในญี่ปุ่นจึงถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาชีวิตประจำวัน โดยเป็นที่พึ่งพิงทางจิตใจ โดยการเปิดกว้างรับเอาพิธีกรรมของศาสนา (ทั้งต่างศาสนา หรือศาสนาเดียวกันแต่คนละนิกาย) เข้ามาในวิถีชีวิตตน ทำให้มีการประสมปนกันระหว่างพิธีกรรมต่างๆ (โดยที่คนญี่ปุ่นบางคนก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพิธีกรรมไหนเป็นของศาสนาใด) กล่าวคือเอกลักษณ์ในการนับถือศาสนาของคนญี่ปุ่นก็คือการที่ไม่มีเอกลักษณ์ในการนับถือศาสนานั่นเอง
ประเด็นเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมที่ผ่านมาถือได้ว่าเป็น theme หลักในการนำเสนอภาพของญี่ปุ่นในหนังสือเล่มนี้ อย่างไรก็ตามผู้เขียนได้เพิ่มเติมประเด็นย่อยเข้าไปเพื่อให้การอธิบายภาพญี่ปุ่นมีความชัดเจนขึ้น โดยเจาะลงไปเฉพาะเรื่อง ตั้งแต่เรื่องการผักผ่อนหย่อนใจของคนญี่ปุ่นทั้งด้านมืดและด้านสว่าง (ส่วนตัวผมคิดว่าประเด็นนี้ผู้เขียนนำเสนอได้น่าสนใจมาก เพราะได้ให้คำอธิบายต่อปรากฏการณ์ต่างๆไว้อย่างลึกซึ้ง เช่นเรื่องพฤติกรรมการดื่มเหล้าของคนญี่ปุ่นที่ภายในแฝงไปด้วยมิติที่ทับซ้อนกันหลายเรื่อง หรือการให้คำอธิบายต่อความโดดเด่นของการพักผ่อนด้านมืดสำหรับคนญี่ปุ่นที่มีความ “เกิน” ปกติเป็นอย่างมาก (เช่นการให้บริการดูผู้หญิงช่วยตัวเอง การเปิดร้านซื้อขายชุดชั้นในของสตรีที่ยังไม่ได้ซัก เป็นต้น) รวมไปถึงการวิเคราะห์กำเนิดกลุ่มชนชั้นกลางและบทบาทของพวกเขาเหล่านั้นในสังคม รวมไปถึงพิจารณาถึงกระบวนการความซับซ้อนในการสร้างและเก็บกดผู้หญิงในสังคมญี่ปุ่นให้เป็นได้แค่ “แม่บ้าน” และ “เมีย” เท่านั้น
เป้าหมายของการ review คงไม่ได้อยู่ที่การนำเสนอภาพรวม หรือการให้คำอธิบายถึงความเป็นญี่ปุ่นในเชิงรายละเอียด หากแต่อยู่ที่การ pin point ให้เห็นถึงวิธีการให้คำอธิบายของผู้เขียนที่พยายามใส่ความเป็นพลวัตรในทุกเรื่องราว (การอธิบายในทุกๆบทของ อาจารย์อรรถจักร์ จะใส่มิติประวัติศาสตร์เข้าไป เพื่อให้เราสามารถมองเห็น “เหตุ” ของเรื่องราวต่างๆ และนำมาอธิบาย “ภาพปัจจุบัน” ได้อย่างดียิ่ง โดยที่อาจารย์ก็ไม่ได้ละเลยการให้คำอธิบายในมิติอื่นๆที่สอดเกื้อหนุนกันไปด้วย) เพื่อให้การทำความเข้าใจญี่ปุ่นเป็นไปอย่างดียิ่งขึ้น
อาทิตยานุวัตร
สามบทสุดท้ายถือได้ว่าเป็นจุดไคลแมกซ์ของหนังสือเล่มนี้ โดยอาจารย์อรรถจักร์ได้แสดงความห่วงใยที่มีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “อาทิตยานุวัตร” (japanization) กล่าวคือเป็นกระแสที่วัฒนธรรมความเป็นญี่ปุ่นได้ทะลักหลั่งเข้ามาในสังคมไทย (หลังจากที่เราเคยเผชิญกับกระแส Americanization เมื่อในอดีต) ทำให้สังคมเรามีห้วงความนึกคิดและอารมณ์เกี่ยวกับญี่ปุ่นมากขึ้น วัฒนธรรมของญี่ปุ่นต่างๆเริ่มเข้ามามีบทบาทในวิถีชีวิตเราอย่างหลากหลาย (ในความคิดผมช่องทางสำคัญในการไหลเข้ามาก็คือการผ่านทางตัวสินค้านั่นเอง) อย่างไรก็ตามความกังวลของผู้เขียนไม่ได้มีลักษณะแบบตื่นตระหนกในเชิงศีลธรรมแบบตื้นๆ (อย่างที่พวกไทยจัดเป็นกัน เช่นเมื่อเด็กเกิดฆ่าตัวตายขึ้นก็ไปโทษวง X JAPAN) แต่ผู้เขียนพยายามจะหาช่องทางในการปรับตัวให้เข้ากับกระแสดังกล่าวที่ไหลบ่าเข้ามามากกว่า
ซึ่งช่องทางแรกก็คือเรื่องของเศรษฐกิจที่ผู้เขียนมุ่งไปในเรื่องของการถ่ายโอนเทคโนโลยี โดยพยายามกระตุ้นเตือนให้เหล่าบรรดาแทคโนแครตหัดคิดนอกกรอบ ออกจากลักษณะที่ซูฮก (ศัพท์นี้ผมใช้เอง) ประเทศเจ้าของทุน เพราะกลัวว่าถ้าออกนอกจริตดังกล่าวจะทำให้ไม่ได้รับการลุงทุน รวมไปถึงควรจะมุ่งเน้นการสร้างอุตสาหกรรมของไทยให้มากขึ้นด้วย
อีกแง่หนึ่งที่สำคัญมากก็คือการปรับตัวในแง่อารมณ์ความนึกคิดที่มีต่อกระบวนการกลายเป็นญี่ปุ่นโดยเน้นไปที่เรื่องของการศึกษา ซึ่งสังคมไทยไม่ได้ให้ความสำคัญในแง่นี้เท่าที่ควร แม้ว่าเราจะการสอนภาษาญี่ปุ่นอยู่เยอะ แต่กลับกลายเป็นว่าทักษะภาษากลายเป็นจุดมุ่งหมายไป ทั้งๆที่มันควรจะเป็นเครื่องมือที่จะนำไปสู่หนทางการทำความเข้าใจสังคมญี่ปุ่นได้ดียิ่งขึ้น ท้ายที่สุดแล้วผู้เขียนได้ประณามระบบการศึกษาของเราที่ลดรูปการทำความเข้าใจสังคมอื่นๆให้เหลือภาษาว่าเป็นการทำร้ายสังคมอย่างที่สุด เพราะมันไม่ได้ให้การศึกษาที่จะทำให้เราจะก้าวไปเสมอภาคกับญี่ปุ่นได้หากแต่เป็นการผลิตคนเพื่อไปเป็นเพียงคนรับใช้นายญี่ปุ่นเท่านั้น
ปัจฉิมลิขิต
หนังสือเล่มนี้ถือว่าเป็นงานชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งถ้าหากเราต้องการจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับญี่ปุ่น และชี้ให้เห็นถึงทิศทางในการที่จะศึกษาสังคมญี่ปุ่นในแง่มุมที่ลึกขึ้นกว่าเดิม (โดยในเล่มนี้ก็คือการใช้วิธีทางประวัติศาสตร์) นอกเหนือไปจากนั้นผู้เขียนยังได้แสดงนัยยะในเชิงนโยบาย (อย่างกว้างๆ) อังเนื่อมาจากความกังวลในกระแส japanization ที่เกิดขึ้น (และกำลังจะเกิดขึ้น) เพื่อให้เรา (หรือประเทศ??) สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อสอดรับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้อย่างเหมาะสม