Friday, March 31, 2006

เขียนเรื่องการเมือง (ก็ได้วะ)



คงจะไม่เป็นการกล่าวเกินจริงไปนัก ถ้าหากจะบอกว่าสถานการณ์การเมืองตอนนี้ช่างแสนระอุกรุ่นดีแท้ การชุมนุม ประท้วง กดดัน ขับไล่ไสส่ง สนับสนุนอุ้มชู เป็นปรากฏการณ์ที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป กระแสความแตกแยกต่างๆที่เกิดขึ้นล้วนสร้างความตึงเครียดทางการเมืองยิ่งนัก ซึ่งสำหรับตัวผมเองคงไม่ได้มีใจโอนเอียงฝ่ายไหนเป็นพิเศษ สิ่งที่ทำอยู่ก็คือการเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ

ยิ่งตอนนี้มันส์มากครับ สารพัดกลุ่มที่ผลุดโผล่ขึ้นมาเป็นดอกเห็ด กลุ่มพลังเงียบ กลุ่มคนรักในหลวง ฯลฯ แต่พลังหลักแห่งความขัดแย้งที่ดำรงอยู่เห็นจะเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มไหนบ้างคงไม่ต้องสาธยายกันให้เมื่อยนะครับ

เอาล่ะจะมีกี่กลุ่มก็ช่างมัน แต่เท่าที่ตามข่าวดู ทางฝั่งผู้ชุมนุมที่สนับสนุนนายกทักษิณ มีลักษณะการชุมนุมเรียกร้องที่ค่อนข้างจะฮาร์ดไม่น้อย กล่าวคือรุกหนัก กดดัน รุนแรง ถึงกับมีนักข่าวคนหนึ่งโดนต่อยหน้าแหกไปแล้ว เอ้อ อะไรมันจะขนาดนั้นวะเนี่ย

ผมว่าสถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวคงยังไม่จบง่ายๆเป็นแน่แท้ ถ้าหากสองขั้วความขัดแย้งยังคงอยู่ ต่างสร้างอัตลักษณ์และช่วงชิงวาทกรรมกันอย่างเมามันส์

ซึ่งปัญหาโลกแตกอันหนึ่งที่พบเจอในขั้วความแตกแยกทั้งสองก็คือ ทั้งสองฝ่ายล้วนอ้างสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” แต่อาจจะอ้างในบริบทที่ต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายรัฐบาลนี่โคตรจะชอบอ้างเลย เช่นว่า ต้องไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ขอให้ทุกอย่างอยู่ในกรอบ ในกฏ ในกติกา สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ก็คือการกระทำที่อยู่ในกติกาของประชาธิปไตยทุกอย่าง

แต่สำหรับผมกลับมองว่า มันเป็นการอ้างความชอบธรรมที่ไร้แก่นสารเสียจริงๆ มันก็แหง แหละว่าทุกอย่างมันตามกฏ กติกา แต่ถามจริงเหอะ กฎกติกาทุกอย่างมันล้วนให้ประโยชน์กับพวกเอ็งนี่หว่า ถ้ากฏ กติกามันสามารถสร้างความชอบธรรมให้คนส่วนใหญ่ได้ มันก็ไม่ต้องมีการมาประท้วงเย้วๆ แบบนี้หรอก ผมว่าถ้ากฏ กติกา มันพูดได้ มันก็คงจะบอกว่า “พวกมึง อย่าอ้างกูเยอะนักเลย เล่นอ้างซะกูจนจะหมดขลังอยู่แล้ว”

รู้สึกว่าฝั่งรัฐบาลจะครอบครองสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยเป็นสิทธ์ขาดเหลือเกิน โดยหารู้ไม่ว่า (หรือรู้ก็ทำเนียนเป็นไม่รู้) การชุมนุม หรือการเคลื่อนไหวทางสังคมเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ ถือได้ว่าเป็นครรลองและกลไกหนึ่งในระบอบประชาธิปไตย ประธิปไตยไม่ใช่แค่เรื่องของการเลือกตั้งนะครับ แน่นอนว่าการยอมรับเสียงส่วนใหญ่ถือเป็นสาระหนึ่งของประชาธิปไตย แต่การยอมรับความแตกต่างหลากหลายต่างหากล่ะที่เป็นแก่นสารของประชาธิปไตยเชิงลึกโดยแท้จริง ความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยของพวกเขาควรจะก้าวข้ามจากกรอบคิดที่ยึดติดกับกระบวนการทางรัฐสภาเพียงอย่างเดียวได้แล้ว

มาถึงอีกฝ่ายหนึ่งบ้าง ซึ่งก็มีจุดยืนที่แข็งขันนั่นก็คือต้องการให้ทักษิณ ออกไปให้ได้ ซึ่งตรงนี้ผมโคตรจะเห็นด้วยเลยครับ แต่ผมว่าสิ่งหนึ่งที่ต้องพิจารณาและตระหนักเอาไว้อยู่ในทุกขณะจิตก็คือ แม้ว่าทักษิณจะออกจากตำแหน่งไปใช่ว่าปัญหาสังคมทั้งหมดจะมลายหายไปในพริบตา แต่ผมก็คิดว่าถ้าทักษิณยอมออกจากตำแหน่งไป การกระทำตรงนี้คงมีคุณูปการให้กับประเทศชาติไม่น้อยเลยทีเดียว (และอาจจะมีสิ่งดีๆ สิ่งเดียวทีทักษิณพอจะทำให้กับประเทศชาติได้)

การชุมนุมขับไล่ทักษิณนี่ผมเห็นด้วยครับ และจริงๆมันก็เป็นสิ่งที่สามารถทำได้หากอยู่บนครรลองของตัวบทกฎหมายและรัฐธรรมนูญ (ดังที่บอกไปแล้วเมื่อครู่) แต่สิ่งที่ผมไม่เห็นด้วยก็คือการอ้างมาตรา 7 แต่งตั้งนายกฯพระราชทานขึ้นมา ซึ่งเหตุผลก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าไม่อยากให้สถาบันกษัตริย์ถูกดึงลงมาสู่เกมการเมืองครับ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตามที สำหรับผมมีความคิดว่าการที่สถาบันกษัตริย์สามารถธำรงค์สถานภาพได้นั้นก็เนื่องด้วยว่าสถาบันดังกล่าวเป็นสิ่งที่ข้ามพ้นและอยู่เหนือการเมืองไปแล้ว มันคงจะไม่งามซักเท่าไรนักถ้าหากดึงเอาสถาบันกษัตริย์มาสู่สนามวาทกรรม มาสู่เกมแห่งอำนาจแล้ว ผมเกรงว่าจะเป็นการทำให้สถาบันดังกล่าวคอนแคลนได้

ผมก็เข้าใจเจตนารมณ์ของฝ่ายที่เสนอข้อเรียกร้องดังกล่าว ที่ต้องการให้สังคมไทยดีขึ้น อันนี้ผมรับทราบและกำซาบไว้ในห้วงใจน้อยๆ (แต่ตัวใหญ่ๆ) ครับ แต่การนำเสนอนายกฯพระราชทานในความคิดผมนั้นอาจเป็นสิ่งที่ง่ายเกินไปหน่อย แม้นว่ามันอาจจะดูเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันก็ตามที แต่ถ้าดูกันยาวๆแล้ว ผมคิดว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้นนะ อย่าลืมนะครับว่าทักษิณเองก็เป็นผลิตผลจากความมักง่ายเช่นกัน

“ไม่เลือกเค้าแล้วจะเลือกใครวะ ไม่เห็นจะมีใครดีเท่ามันเลย ไม่ชอบก็กาๆเลือกๆไปเหอะ”

“ทักษิณโกง?? ใครๆก็โกงกันทั้งนั้นแหละ แต่เค้าโกงแล้วดีนะ ทำโน่นทำนี่ให้ประเทศชาติบ้านเมืองพัฒนามันก็ดีกว่าโกงแล้วไม่ทำอะไรเลยนะเว้ย”


………………………………

Saturday, March 04, 2006

โลกาภิวัฒน์ ประชาธิปไตย แอนด์ ไทยแลนด์



คราวนี้ก็ไม่ได้เขียนเองอีกเช่นเคยครับ แต่มีรุ่นน้องไฟแรงเจ้าเก่า คันไม้คันมืออยากเขียนอะไรเช่นเคย (ได้ข่าวว่ามีประเด็นเขียนเพราะไปช่วยงานเพื่อน (สาว) นี่หว่า อิอิ) รู้สึกว่า blog ผมจะกลายเป็นอะไรที่ผมเขียนน้อยลงไปเองเรื่อยๆ ทุกทีแฮะ แบบนี้ชักจะแย่

ไม่แน่อนาคต blog ผมอาจจะเป็นประมาณว่า เอาที่ชาวบ้านเขียนมาลง แล้วกูก็เขียนคำนิยมเอาอะนะ เหอ เหอ (เล่นง่ายดีเนอะ) เอาเป็นว่าคราวหน้าฟ้าใหม่รับรองเขียนเองแน่นอนครับ ไม่นานเกินรอ

ว่าแล้วก็ฝากรุ่นน้องผมคนนี้เป็นขาประจำ blog ด้วยละกันนะ

------------------------------------------------


โลกาภิวัฒน์(Globalization) คำนี้นัยยะของมันนี่ ตามความเข้าใจของผม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะหยาบเกินไปหรือไม่ ก็น่าจะหมายถึง การที่ลักษณะทางภูมิศาสตร์กายภาพ อันได้แก่ ภูเขา ทะเล ช่องแคบ โขดหิน ก้อนกรวด รวมไปถึงน่านฟ้า ก็ไม่อาจขวางกั้น 2 เรา(ว่าเข้าไปนั่น) ไม่สามารถปิดกั้นข่าวสาร เทคโนโลยี องค์ความรู้แขนงต่างๆ อันรวมไปถึง ค่านิยม ความเชื่อ อุดมการณ์ ตลอดจนวัฒนธรรม ที่สามารถส่งผ่าน แลกเปลี่ยน รับรู้ และกลืนกินกันได้

คงจะดีไม่น้อยถ้าหาก คำว่าโลกาภิวัฒน์สามารถ เป็นได้จริงตามนิยามของมัน เพราะโลกความเป็นจริงที่วุ่นวายในอยู่ทุกวันนั้น ล้วนเป็นผลผลิตมาจากความแบ่งเขาแบ่งเรา การปฏิเสธ หวาดกลัว หลบเลี่ยง หลีกหนี จากคนที่ไม่รู้จัก ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันล้วนมีผลประโยชน์แอบแฝงหรือทับซ้อน(คำนี้ฮิตมานาน) วาระซ่อนเร้น ดังเช่นการ ที่มีเทือกเขาตะนาวศรีอยู่ กลับทำให้คนที่อยู่ในพื้นที่ข้างซ้ายและขวา ของเทือกเขานี้ ไม่สามารถมองมองกันในฐานะสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า คน (ยืมชื่อหนังสือคุณวินทร์ เลียววาริณ มาใช้) ได้อย่างสนิทใจ เหมือนกับที่มอง คนในฝั่งฟากเดียวกัน โลกาภิวัฒน์ในฐานะของเป้าหมาย(End) คงสามารถเชื่อมต่อ ประสานความไม่เข้ากัน ให้มีมากขึ้นได้

แต่หากคำว่าโลกาภิวัฒน์ไม่ได้ถูกใช้ในสถานะของเป้าหมายละ และว่าต่อไปอีกว่า มันกลับเป็นเครื่องมือ(Mean) ในการสร้างวาทกรรมเพื่ออะไรสกอย่างหนึ่ง คำถามที่ติดตามมาอย่างต่อเนื่องคือ มันจะเป็นเครื่องมือของใคร และใช้เพื่ออะไร จะเป็นไปได้ไหม หากคำนี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเสนอ ส่งผ่าน รวมถึงการกลืนกิน เพื่อผลประโยชน์ของผู้ใช้มัน อาทิเช่น ทรัพยากร ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การสร้างอุดมการณ์ เพื่อแสวงหาแนวร่วมและพันธมิตร เป็นต้น ซึ่งเราจะมาลองวิเคราะห์ในแง่ประเด็นอุดมการณ์ทางการเมืองโดยเฉพาะในบทความชิ้นนี้

ในแง่มุมประเด็นของการเมือง ผมคนต้องย้อนอดีตไปพาดพิงถึงเหตุการณ์ที่เราเรียกกันว่า สงครามเย็น(Cold War) ระหว่าง 2 ค่าย โดยมุมน้ำเงินได้แก่ สหรัฐอเมริกา ผู้เชื่อมั่นในเสรีนิยมประชาธิปไตยอำนาจเป็นของประชาชน (ที่ไม่ใช่พวกอินเดียนแดงและคนดำในยุคนั้น) ส่วนมุมแดงคือสหภาพโซเวียต ภายใต้สโลแกนความเท่าเทียมกัน ของระบอบคอมมิวนิสม์ ภายใต้รากฐานความคิดจากคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx)

ทั้งสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตต่างใช้กระบวนการโลกาภิวัฒน์ ในการเผยแพร่อุดมการณ์ ความคิด และความเชื่อแก่ประเทศต่างๆ มีทั้งการให้เงินสนับสนุนในด้านเศรษฐกิจ กองกำลังทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ มีการสะสมนิวเคลียร์ ก่อเกิดสงครามตัวแทนเป็นจำนวนมาก เพราะทั้ง 2 ประเทศต่างชอบที่จะเข้าแทรกแซงปักธงของตนในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกันเพื่อมิให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีพื้นที่อาณาเขตแห่งอุดมการณ์ใหญ่เกินไป จึงต้องถ่วงดุลซะ ดังเช่นกรณีของเกาหลีเหนือ-ใต้ และสงครามเวียดนาม เป็นต้น ส่วนประเทศไทยของเราก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันเมื่อตกอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อประเทศรอบด้านของเรา ไม่ว่าจะเป็นจีน เวียดนาม เขมร ลาว ล้วนชูธงแดงหลากันสลอนไปหมด แต่ไทยเราดันมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับสหรัฐอเมริกานี่ซิ แต่ก็ยังเกรงใจพี่จีนและรัสเซียอยู่ จนครั้งหนึ่งในเสี้ยวประวัติศาสตร์ไทย ไทยเคยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคคอมมิวนิสม์ด้วยเช่นกัน

จวบจนกระทั่งในที่สุดเรด แมชชีน ก็แพ้ภัยตัวเองไป อาจเป็นเพราะเนื่องด้วยตรรกกะแห่งมาร์กซิสต์มีความเป็นอุดมคติมากเกินไป เพราะคนเรามีความสามารถในการตักตวงผลประโยชน์สู่ตนเองได้ไม่เท่ากัน แต่ต้องตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขของผลประโยชน์เดียวกัน ย่อมมีคนไม่พอใจเป็นแน่แท้ หรือเลนนินไม่สามารถนำมาประยุกต์ ตามตรรกะของมาร์กซิสต์ได้ดีเพียงพอ หรืออาจเป็นเพราะเงื่อนไขทั้ง 2 อย่าง แต่โดยภาพรวมแล้วการล่มสลายของสหภาพโซเวียตน่าจะมาจากการที่ระบอบคอมมิวนิสต์ที่ใช้กันอยู่ ไม่สามารถตอบสนองต่อความเป็นสัตว์เศรษฐกิจ(Homo Economicous) ของมนุษย์นั้นได้ ดีพอ ถ้าเทียบกับเสรีนิยมประชาธิปไตยที่ผนวกกับความเป็นทุนนิยมเข้าไป ซึ่งจะตอบสนองธรรมชาติของมนุษย์ ที่ต้องการแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัว โดยบางครั้งอาจจะไม่สนใจคนอื่นได้มากกว่า การล่มสลายในครั้งนี้ก็เป็นผลพวงของกระบวนการโลกาภิวัฒน์นั่นเอง เพราะ ภายหลังรัสเซียมีการเปิดประเทศมากขึ้น กระแสแห่งความคิดฝ่ายตรงข้ามจึงไหลเข้าเอ่อเข้าไป และมันทำงานได้ดีเสียด้วย วาระสุดท้ายของผู้ใช้กระบวนการแห่งโลกาภิวัตน์เป็นเครื่องมือ ก็สลายไปด้วยเครื่องมือเดียวกัน ดังที่ทุกท่านคงทราบกันแล้ว เอวังด้วยประการนี้ ดังนั้นประเทศไทยของเราจึงสามารถเลือกข้างได้ซักที การปราบปรามกวาดล้างบรรดาพวกคอมมิวนิสต์จึงรุนแรงหลังจากนั้นเป็นต้นมา(ซึ่งพอน่าจะรุนแรงไม่ต่างกับการประกาศสงครามยาเสพติดของทั่นผู้นำของเรา (ป.ล. ในสมัยนั้นอาจเป็นได้ที่ว่าข้อหาคอมมิวนิสต์อาจฟังดูร้ายแรงพอกับการติดเอดส์หรือโรคระบาดร้ายแรง จึงต้องกำจัดให้สิ้นซาก)

ต่อมาเราลองมาพิเคราะห์ที่ประเทศไทยของเราบ้างดูบ้างเพื่อจะตรวจสอบดูว่ากระบวนการโลกาภิวัฒน์นั้นมีการทำงานอย่างไร ผมมองว่าโลกาภิวัตน์ในไทยเกิดมาขึ้นตั้งแต่เรามีการซึมซับ แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และวัฒนธรรมกับต่างประเทศ ซึ่งหากลงลึกในแง่มุมของการเมืองการปกครอง ไทยเราน่าจะเริ่มเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้อย่างเด่นชัด ตั้งแต่สมัยตอนต้นของอาณาจักรอยุธยา เรามีการรับรูปแบบมาจากขอม รูปแบบของการปกครองยังคงผูกติดกับความเชื่อทางศาสนาอยู่อย่างแน่นแฟ้น ดังเช่นแนวคิด เรื่องกษัตริย์ เปรียบได้ดั่งสมมติเทพ รูปแบบการปกครองที่มีการจัดระบบมากขึ้นจากสมัยสุโขทัย ปริมณฑลแห่งอำนาจของกษัตริย์ มีมากขึ้นตามแนวคติ เทวราชาของพราหมณ์ พลวัตรทางการเมืองการปกครองเป็นไปในลักษณะอย่างช้าๆ ด้วยแรงหนืดจากความเชื่อ วัฒนธรรมและทัศนคติการดำรงชีพของประชาชนในสมัยนั้น การเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่จึงมักจะอยู่ในรายละเอียดปลีกย่อย เพื่อความคล่องตัวในด้านการบริหาร ซึ่งขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในแต่ละยุคสมัย แต่แก่นของการปกครองยังธำรงในรูปแบบเดิมจนกระทั่งถึงในสมัยของรัชกาลที่ 5

ระบอบการเมืองการปกครองในรัชกาลที่ 5 มีลักษณะเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปจากรูปแบบเดิมอย่างมาก การยกเลิกระบบการปกครองเดิมๆ เพื่อเปลี่ยนไปสู่การตั้งกระทรวงต่างๆ รวมถึงการกระจายอำนาจการปกครองในรูปแบบการแบ่งเขตมณฑล เพื่อรองรับกระแสของจักรวรรดินิยม เป็นการเปลี่ยนยุคมาสู่ทันสมัยนิยม(Modernism) ด้วยกระบวนการโลกาภิวัฒน์ที่เด่นชัดมากขึ้น เพราะในรัชสมัยของพระองค์ท่าน ทรงนิยมที่จะส่งพระราชโอรส และขุนนางไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ รวมถึงตัวพระองค์ที่ทรงโปรดเสด็จประพาสดูงานที่ต่าง ประเทศ กระแสจักรวรรดินิยมเป็นตัวเร่งให้เราตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้มากขึ้น

การเปลี่ยนแปลงยังคงเป็นสิ่งที่คงอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลง จุดเปลี่ยนที่สำคัญของประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองไทย การผละจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์(Absolute Monarchy) สู่ระบอบประชาธิปไตย(Democracy) ในปี 2475 ที่กลุ่มทหารกลุ่มหนึ่ง มีความคิดที่ได้รับมาจากฝั่งตะวันตก ในเรื่องอุดมการณ์ของประชาธิปไตย ทำการปฏิวัติพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจหลายแง่มุมในเหตุการณ์ครั้งนี้ การล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สิ่งที่เสื่อมสลายตามไปด้วยนั่นคือชนชั้นขุนนาง การดำรงอยู่ของชนชั้นขุนนางก็เป็นสาเหตุหนึ่งของแนวคิดในการเปลี่ยนแปลง เพราะสมัยนั้นสภาพเศรษฐกิจตกต่ำ มีการปลดข้าราชการเป็นจำนวนมาก ชนชั้นเจ้านายไม่โดนผลกระทบจาการปลดข้าราชการออก จึงเป็นสาเหตุให้ชนชั้นอื่นไม่พอใจ ขมวดเข้ากับความเข้มข้นขึ้นของแนวคิดอุดมการณ์ที่รับจากตะวันตก ที่เพิ่มขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ

หากพูดถึงประชาธิปไตย เราคงแบ่งออกได้เป็นระบบใหญ่ๆ ออกเป็น 2 ระบบ คือ ประชาธิปไตยแบบตัวแทน(Representative Democracy) และประชาธิปไตยแบบเปิดกว้าง(Dialogic Democracy) ประชาธิปไตยแบบตัวแทน เป็นเพียงมรรควิธีในการทำให้ผลประโยชน์ของคนในสังคมได้รับการตอบสนองจากรัฐ ผ่านตัวแทนที่เขาได้กากบาทเลือกเข้าไป ส่วนประชาธิปไตยแบบเปิดกว้าง เป็นประชาธิปไตยที่เน้นการเปิดพื้นที่สาธารณะของคนในสังคม ให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวาง “เพื่อสร้างบทสนทนาสาธารณะ” (Public Discourse) อันนำไปสู่การแก้ปัญหาสาธารณะร่วมกัน เพื่อสร้างที่ว่างให้ความแตกต่างที่หลากหลาย ให้อยู่ร่วมกันได้ โดยทุกกลุ่มสามารถดำรงอัตลักษณ์ของตนได้อยู่

แต่อนิจจาประชาธิปไตยในไทยในตอนเริ่มแรกกลับไม่สามารถ ที่จะก้าวไปแตะ แม้กระทั่งประชาธิปไตยแบบตัวแทนได้ ภายใต้การนำของคณะราษฎร ประชาธิปไตยเป็นเพียงเครื่องมือ และเป็นวาทกรรมของรัฐเพื่อแสวงหาผลประโยชน์แก่พวกพ้อง รัฐธรรมนูญเป็นเพียงฉากเพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่กลุ่ม แต่สิ่งที่เป็นกลับเป็นลักษณะการปกครองแบบเผด็จการ มีการทำรัฐประหารเพื่อสืบทอด/ล้มล้าง ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ สิทธิของความเป็นพลเมือง ในด้านของการรวมกลุ่มทางการเมือง สิทธิ์ในการเสนอวิพากษ์วิจารณ์รัฐ สิทธิ์ที่จะไม่เชื่อฟังอำนาจรัฐ ถูกจำกัดและลิดรอนจนหมดสิ้น ด้วยคำกล่าวหาอย่างน่าอดสูว้าเป็นกบฏ คิดล้มล้างประชาธิปไตย ทั้งที่ประชาธิปไตยในประเทศไทยเกิดขึ้นได้ จากการต้องการเรียกร้องสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อฟังอำนาจรัฐภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะรากของการได้มาซึ่งประชาธิปไตยล้วนมาจากกำลังของฝ่ายทหาร ดังนั้นการดำเนินเจตนารมณ์ของประชาธิปไตยของผู้ที่ใช้ ย่อมสะท้อนถึงการได้มาเช่นกัน

แม้เวลาผ่านไปกระบวนการโลกาภิวัฒน์ก็มิเคยได้หยุดบทบาทของมัน แม้ระบบประชาธิปไตยแบบเผด็จการก็ยังคงดำรงอยู่ แต่ คราวนี้สถานการณ์สุกงอมตรงที่เหตุการณ์ในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 เป็นเหตุการณ์ครั้งสำคัญ ที่เป็นการรวมพลังของกลุ่มนิสิตนักศึกษาจากสถาบันต่างๆ ได้ออกมาแสดงตนเองอยากเปิดเผยในการเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริงมากกว่าที่เป็นอยู่ จนสามารถล้มล้าง ถนอม-ประภาส-ณรงค์ ออกไปได้ ประชาธิปไตยของประเทศไทยก็น่าจะเดินสู่ครรลองที่ควรจะเป็นเสียที จนกระทั่งเป็นการโต้กลับของกลุ่มอำนาจเดิมในเหตุการณ์โศกนาฏกรรมในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ที่มีการล้อมปราบนักศึกษาที่มหาวิยาลัยธรรมศาสตร์ จนมีนิสิตนักศึกษาเป็นจำนวนมากต้องหนีเข้าป่าไป อำนาจกลับไปสู่มือฝ่ายทหารอีกครั้ง

เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่น่าจะแสดงถึง การหมดบทบาทของฝ่ายทหารในการเมืองไทยน่าจะเป็นเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ 2535 ที่มีการประท้วงของประชาชนจนฝ่ายทหาร ไม่สามารถแบกรับความกดดันที่ถาโถมมาจากภาคประชาชนได้ จนพลเอกสุจินดา คราประยูร ต้องลาออก ทหารจึงหมดบทบาทจากนั้นเป็นต้นมา

ปัจจุบันประชาธิปไตยในประเทศไทยได้ข้ามพ้นจากเผด็จการสู่การเป็นประชาธิปไตยแบบตัวแทน รูปแบบของการแสวงหาสร้างพื้นที่ของอำนาจ เป็นไปในลักษณะของการทำอย่าไรก็ได้ให้ได้จำนวนคะแนนเสียงที่มากที่สุด(Vote Gain Maximization) เพื่อให้ได้จำนวน ส.ส. ที่มากที่สุด เพื่อสร้างความเบ็ดเสร็จของอำนาจในการบริหารให้มากที่สุด อุดมการณ์ของพรรคการเมืองจึงเป็นเรื่องเป้าหมายรองลงไป ถ้าเทียบกับเป้าหมายในเรื่องจำนวนที่นั่งของ ส.ส. ประชาธิปไตยจึงเป็นเรื่องของการกากบาท ซึ่งนานๆทีจะมีซักครั้ง ประชาธิปไตยยังคงเป็นเพียงเครื่องมือของกลุ่มคนเพียงไม่กี่กลุ่ม เพียงแต่เปลี่ยนมือผู้ใช้จากฝ่ายทหาร มาสู่กลุ่มทุนในยุคนี้เท่านั้น หาใช่เป็นเป้าหมายในการเปิดกว้างยอมรับความแตกต่างที่หลากหลายดังเช่นที่ผู้ริเริ่มหวังไว้

ปัญหาของประชาธิปไตยที่บิดๆเบี้ยวๆ ของประเทศไทยได้กลับมาส่งผลให้เห็นเด่นชัดในรัฐบาลชุดนี้ เมื่อ สามารถได้ที่นั่งจำนวน ส.ส. มากที่สุด เป็นประวัติการณ์ ฝ่ายบริหารสามารถสร้างอำนาจเบ็ดเสร็จอย่างมาก เมือผนวกกับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่มีอคติในเรื่องของขนาดพรรค(Size Bias) ที่ระบุในเรื่องระบบบัญชีรายชื่อ พรรคการเมืองต้องได้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 มิฉะนั้นจะไม่ได้รับที่นั่งเลย

โดยเมื่อมีอำนาจเบ็ดเสร็จ การทำอะไรทุกอย่างจึงสามารถทำได้โดยง่าย การใช้อำนาจเพื่อสร้างความชอบธรรมไม่ว่าจะในการแก้กฎหมายต่างๆ การไม่รับฟังเสียงของประชาชน เพราะความเบ็ดเสร็จของอำนาจ จนทำให้เกิดเหตุการณ์ดังเช่นในตอนนี้ ประชาชนเริ่มตระหนักในบทบาทของตนในระบอบของประชาธิปไตยว่ามันเป็นมากกว่าการกากบาท การเรียกร้องประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม(Paticipatory Democracy) จึงเกิดขึ้นแต่ การเกิดขึ้นนั้นมาจากการเสียผลประโยชน์และต้องการที่จะเรียกร้องสิ่งเหล่านั้น หาใช่ประชาธิปไตยแบบเปิดกว้างที่มีพื้นที่กับทุกคน เพื่อแสดงอัตลักษณ์ของกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ ศาสนา หรือ สิทธิต่างๆ ที่พึงมี/ได้รับ/สามารถปฏิบัติได้

70 กว่าปี ของกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยในไทย ด้วยกระแสแห่งโลกาภิวัฒน์ ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละบุคคลว่ามันมีพัฒนาการไปได้มากหรือน้อย ว่าจะนำไปเปรียบเทียบกับประเทศอะไร สำหรับผม ผมมองว่ากระบวนประชาธิปไตยของไทยเรายังคงล้าหลังเป็นอย่างมาก ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุมาจากรากฐานของมันยังไม่ได้พัฒนาการ จนตามกระบวนการได้ทัน รากฐานในที่นี้ ผมหมายถึง ประชาชน นักเลือกตั้ง และรัฐ นั้นเอง สิทธิของพลเมืองตามระบอบประชาธิปไตยในในสายตาของคนไทยส่วนใหญ่ ยังคงแค่การเข้าคูหาแล้วกาบัตรเสีย เอ้ยเบอร์เดียวอยู่(ขอฮาหน่อย) การกาก็ขึ้นอยู่การนำเสนอนโยบายของนักเลือกตั้ง หรือไม่ก็ตามจำนวนเงินที่จ่าย นักเลือกตั้งจึงต้องมุ่งเน้นแต่ผลิตเมนูนโยบายเพื่อขอให้โดนใจประชาชนไว้ก่อน รวมถึงงบประมาณอัดฉีด ซึ่งพอนักเลือกตั้งชนะการเลือกตั้ง จนได้กลายมาเป็นรัฐบาล รัฐบาลไทยเราก็ชอบคิดว่าความเห็นที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาลล้วนผิดไปหมดอีก วันก่อนมีอาจารย์ท่านหนึ่งที่ภาควิชาผม ซึ่งท่านได้กำลังศึกษาต่ออยู่ได้กลับมาเยี่ยมเยือน ผมขอนิกเนมท่านว่า “เกจิ” ท่านถามผมว่า คุณไม่ไปประท้วงกับเขาหรือ ผมก็บอกไปว่า “ผมรู้สึกว่ามันเป็นเกมการเมืองระหว่างกัน” ตัวผมเองผมก็ไม่ชอบใจรัฐบาลชุดนี้อยู่แล้ว แต่ผมขออยู่ตรงกลางดีกว่า เผอิญเกจินี่แกค่อนไปทางฝ่ายประท้วง ตามด้วยร่ายเหตุผลที่สมควรไปประท้วงให้ผมและผองเพื่อนฟังยกใหญ่ ผมก็เห็นด้วยกับแกนะ แต่ผมขออยู่ตรงกลางดีกว่า ผมเลยคิดว่า ประชาธิปไตยในไทยนอกจากจะเป็นการกากบาทแล้ว ยังบังคับให้เราต้องเลือกข้างด้วยหรือ เราจะไม่มีที่ยืนทางการเมืองหากเราไม่สังกัดฝ่ายใดหรือ ประกอบกับการเห็นป้ายสาดโคลนระหว่างกัน เช่น “ร่วมกันทวงคืนประชาธิปไตย มาขับไล่นายก” หรือจะเป็น “พวกประท้วงล้วนก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม ทำลายประชาธิปไตย ขอเป็นกำลังใจให้นายก” นั่นสะท้อนให้เห็นถึงถึงวุฒิภาวะของสังคมไทยได้ดีในเรื่องของการจัดการความคิดเห็นที่แปลกแยกหรือแตกต่างว่าเป็นอย่างไร สังคมไทยยังอ่อนด้อยในด้านนี้มาก

ดังนั้น 70 กว่าปีที่ผ่านมา ประชาธิปไตยในไทยพัฒนาด้วยกระบวนการโลกภิวัฒน์ แต่การพัฒนาที่เห็นเด่นชัดที่สุดกลับเป็นแค่การข้ามพ้นจากอำนาจของฝ่ายทหารด้วยพลังของปัญญาชน มาสู่ประชาธิปไตยแบบตัวแทน เท่านั้น การเข้าสัมผัสถึงประชาธิปไตยแบบเปิดกว้างยังคงห่างไกลนัก เราลองมาดูกันดีกว่ากระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยของไทย กับกระบวนการพัฒนาทีมฟุตบอลของไทยอันไหนจะไปได้ไกลกว่ากัน เพราะอย่างน้อยทั้ง 2 ก็ได้รับผลพวงของโลกาภิวัตน์เหมือนกันไม่อย่างงั้นแล้วท่านผู้นำของเราจะไปซื้อทีมลิเวอร์พูลหรือครับ