Friday, April 14, 2006

เทศกาลสงกรานต์ หรือบ้านป่าเมืองเถื่อน !?!



และแล้วก็มาถึงเทศกาลสงกรานต์ที่ทุกคนรอคอย เทศกาลแห่งความชุ่มฉ่ำ ความสนุกสนานเบิกบาน รื่นเริงกันถ้วนหน้า.......

โดยที่ทางการจะกำหนดให้วันที่ 13-14-15 เมษายน ของทุกปีเป็นวันสงกรานต์ เป็นวันปีใหม่แบบไทยๆของเรา จากการรำลึกความรู้ในสมัยประถมของผมเกี่ยวกับสามวันนี้ก็จะได้ว่า

วันที่ 13 เราจะเรียกว่ามัน มหาสงกรานต์ เป็นวันที่เราเริ่มที่จะย่างเข้าสู่ปีใหม่

วันที่ 14 เราจะเรียกว่าวันเนาหรือวันอยู่ เป็นวันที่ดวงอาทิตย์เริ่มตั้งหลักเข้าสู่วันแรกของปีใหม่

และวันที่ 15 ก็คือวันเถลิงศก ซึ่งเป็นวันที่เริ่มต้นขึ้นปีใหม่แบบไทยๆ ของเราอย่างแท้จริง

ส่วนรายละเอียดในแง่พิธีกรรมผมคงไม่สันทัดมากนัก แต่โดยรวมๆแล้วภายในสามวันนี้ก็จะมีกิจกรรมและประเพณีต่างๆ ตั้งแต่การรดน้ำดำหัวผู้หลักผู้ใหญ่ผู้สูงอายุ การสรงน้ำพระที่มีการจัดอยู่ทั่วไป หรือบรรดางานเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่ รวมไปถึงการเล่นสาดน้ำเพื่อความชุ่มฉ่ำ

เมื่อพูดถึงการเล่นสาดน้ำแล้วก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป ถ้านับเฉพาะในเขตกรุงเทพฯแล้ว ก็มีหลายสถานที่ๆ เล่นกันอย่างเอาการเอางานยิ่ง

สถานที่โด่งดังคงไม่พ้นที่ถนนข้าวสารแถบราชดำเนิน ถนนสีลมก็เล่นกันคึกคักใช่ย่อย รวมไปถึงในซอยโชคชัย 4 บ้านผมก็เล่นกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมันมาก

การเล่นสาดน้ำดูจะกลายเป็นสิ่งที่ขาดเสียไม่ได้สำหรับเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งสำหรับผมเองมันคงจะไม่มีความรู้สึกขัดข้องแต่อย่างใด ถ้าหากว่าการเล่นมันยังอยู่ในกรอบ ไม่เอ่อล้นเกิน จนไปสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้กับสังคมส่วนใหญ่

แต่สิ่งที่ผมได้สัมผัสบางอย่างจากการละเล่นในช่วงเทศกาลนี้มันสร้างความรู้สึกไม่สู้ดีนัก การเล่นฉีดน้ำอย่างป่าเถื่อน สารพัด สารพันสรรพาวุธที่นำมาห้ำหั่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เอ่อ ผมไม่รู้ว่าคนกรุงเทพฯ จะเรียกกันว่าอย่างไร เพราะโดยปกติสมัยเด็กๆ ผมเล่นสงกรานต์อยู่ที่หนองคาย ที่โน่นจะเรียกกันว่า “บ้องฉีด” ซึ่งอุปกรณ์ชนิดนี้มีศักยภาพในการโจมตีสูงมาก สามารถปั๊มลม ฉีดน้ำได้อย่างไกลและแรงยิ่ง ทำเอาเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจำต้องแดดิ้นไปเป็นแถว

เมื่อมีอาวุธระยะไกล มันย่อมต้องมีอาวุธระยะประชิดเป็นของคู่กัน ซึ่งก็คือ “ดินสอพอง” หรือที่เราเรียกกันง่ายๆว่า “แป้ง” นี่เอง ซึ่งการใช้อาวุธนี้ก็ไม่ยาก เพียงแค่ท่านมีความใจกล้าหน้าด้าน กล้าฉวยโอกาสในระดับหนึ่ง จัดแจงผสมแป้งกับน้ำในสัดส่วนให้พอหนืดๆ เมื่อเจอะเป้าหมายผู้เคราะห์ร้าย (ซึ่งก็คือบรรดาสาวๆทั้งหลาย) ก็รีบลงมือจ้วงแป้งละเลงใส่เป้าหมายอย่างไม่ยั้ง ทั้งใบหน้า หน้าอกหน้าใจ ล้วงกันเข้าไป ถ้าแม่งล้วงง่ามก้นได้มันคงล้วงกันไปแล้วล่ะ ฮาร์ดจริงๆ

แต่การยาตราทัพย่อมต้องมีพาหนะ ซึ่งในความคิดผมพาหนะที่เด็ดสุดคงไม่พ้นบรรดามอเตอไซค์ทั้งหลายที่ต่างพากันยกล้อแสดงศักดากันอย่างเต็มที่ ขี่กันให้ป่วนซอยกันเต็มไปหมด แถมพวกนี้ยังมีความไวต่อปฏิกิริยารอบข้างสูง แค่มีรถจอดขวางนิดหน่อย หรือมองหน้ากัน เขม่นหน้ากันแค่เฉี่ยวๆ รับรองได้ตะลุมบอนกันให้ฝุ่นตลบ

ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิด ปีที่แล้วในซอยบ้านผมนี่ถึงกับมีคนสังเวยชีวิตให้กับการตะลุมบอนอันไร้สาระนี้มาแล้ว.......

ผมเองก็ไม่เก่งประวัติศาสตร์มากพอที่จะไปทราบได้ว่าเมื่อไหร่หนอที่การเล่นสาดน้ำมันกลายเป็นสาระสำคัญของเทศกาลสงกรานต์ แต่ที่ผมรู้สึกได้ก็คือในตอนนี้ มันกลายเป็นสัญลักษณ์ของเทศกาลนี้ไปแล้ว กลายเป็นสัญญะที่โดดเด่นเหนือเรื่องอื่นๆ ทั้งๆที่สงกรานต์มันไม่ใช่แค่การสาดน้ำกัน

สงกรานต์สำหรับหลายๆคนคงไม่มีอะไรเกินไปกว่าการ “สาดน้ำ” ใส่กันเท่านั้นเอง โดยหลงลืมสาระอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับเทศกาลนี้ไปจนหมดสิ้น หลงลืมไปว่านอกจากการสาดน้ำแล้ว เรายังต้องระลึกถึงผู้เฒ่าผู้แก่ ปู่ย่า ตายาย ที่มีอายุเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งปี ระลึกถึงการได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว ระลึกถึงประเพณีอันดีงามต่างๆ

อย่างไรก็ตาม การที่เทศกาลสงกรานต์กลายเป็นการเล่นสาดน้ำดูจะเป็นสิ่งที่สร้างมูลค่าในเชิงเศรษฐกิจไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการท่องเที่ยว ที่เชื่อว่าจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างชาติได้ บรรดาพ่อค้าแม่ขายหัวหมอที่ต่างพากันฉวยโอกาสเอาน้ำประปามากรอกใส่ขวดแล้วขาย รวมไปถึงเครื่องดองของเมาที่มีการบริโภคกันอย่างครึกโครมในเทศกาลนี้ อีกทั้งตามผับบาร์ทั้งหลายยังจัดโปรโมชั่นกันอย่างหลากหลาย อาทิเช่นเกณฑ์บรรดาสาวๆโคโยตี้นุ่งน้อยห่มน้อยแสดงบนเวทีเพื่อความครึกครื้น บางที่ถึงกับใส่ชุดทูพีซกันก็มี พูดได้เลยว่าเทศกาลนี้เป็นการคืนกำไรให้แก่ลูกค้าเพื่อโกยกำไรเข้ากระเป๋าตัวเองอย่างแท้จริง

เจตนาของผมคงไม่ได้อยู่ที่การมุ่งโจมตีการเล่นสาดน้ำและนำไปสู่การห้ามปรามกิจกรรมนี้ หากแต่อยู่ที่ว่า เราจะทำอย่างไรจึงจะสร้างกรอบกติกาให้กิจกรรมดังกล่าวดำเนินไปได้โดยที่สร้างต้นทุนทางสังคมและความเดือดร้อนต่างๆให้น้อยที่สุด (เพราะอย่างน้อยที่สุดการที่เอาน้ำมาสาดกันก็เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยใช่ที่อยู่แล้ว)

ซึ่งเท่าที่ติดตามข่าวสารดู ก็เห็นทิศทางที่ขึ้นหลายอย่าง เช่น การชักชวน รณรงค์ให้สาวเลิกนุ่งน้อยห่มน้อยมาแต่งกายกันให้มิดชิดขึ้นในวันสงกรานต์ เพื่อป้องกันการโดนจู่โจมจากอาวุธประชิดตัว (อย่างไรก็ตามผมเห็นสาวๆหลายคนมีพฤติกรรมที่ไปในแนวทางที่ต้องการเชคเรตติ้งตนเองพอสมควร กล่าวคือ ข้าจะแต่งแบบนี้มีไรมะ มาจ้วงกูเลย จะได้เชคไปในตัวว่าเราสามารถดึงดูดบรรดาตัวเห็บไรได้มากน้อยขนาดไหน) การตั้งด่านคอยตรวจกักบรรดาแก๊งค์ซิ่งกวนเมืองทั้งหลาย การตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์สำหรับผู้ขับขี่อย่างเอาจริงเอาจัง รวมไปถึงการพยายามที่จะห้ามปรามอาวุธสุดป่วนไม่ให้แผลงฤทธิ์ โดยห้ามเล่นแป้งในพื้นที่สำคัญ รวมไปถึงห้ามจำหน่ายบ้องฉีดด้วย

เป็นสิ่งที่ดีครับ และขอให้ภาครัฐขยันขันแข็งกันให้ได้แบบนี้ทุกปี แต่อย่าลืมที่จะเก็บรวบรวมสถิติต่างๆ รวมไปถึงพฤติกรรมการเล่นน้ำแผลงๆในแบบต่างๆอันจะนำมาสู่ความเดือดร้อนให้คนอื่นเพื่อนำมาใช้ในการกำหนดนโยบายในปีต่อไปนะครับ

ในเทศกาลสงกรานต์นี้ สิ่งที่ผมอยากเห็นก็คือความชุ่มฉ่ำ รื่นเริงสนุกสนาน เล่นน้ำกันอย่างมีสติยั้งคิด รวมถึงรำลึกถึงผู้หลักผู้ใหญ่ ครอบครัวรวมไปถึง สิ่งดีงามต่างๆอันเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้ นี่แหละจึงจะบังเกิดเสียงหัวเราะอันสดใสกังวานอย่างแท้จริง เป็นเสียงหัวเราะที่ผมอยากได้ยินยิ่ง

ไม่ใช่เสียงหัวเราะของพวกไอ้หื่นที่มาจาก ล้วง จ้วงจาบ บรรดาเหยื่อสาวที่เคราะห์ร้าย

ไม่ใช่เสียงโอดโอยร้องด้วยความเจ็บปวดของจากธุรกรรมอันเหี้ยมโหดของแก๊งค์กวนเมืองและการตีกันที่ไร้สาระ

ไม่ใช่เสียงร้องไห้ของ ลูกน้อยที่สูญเสียพ่อ หรือ พ่อแม่ ที่สูญเสียลูกไปโดยอุบัติเหตุบนท้องถนน อันเกิดจากการ ดื่ม เมา แล้วขับ


สุดท้ายแล้วผมขอไว้อาลัยความสูญเสียทั้งปวงอันเกิดจากเทศกาลอันดีงามนี้..................

Saturday, April 08, 2006

"ครองใจคน" หลากเหตุผลที่คนไทยรักในหลวง












ถ้าจะถามผมว่า ภายใต้สถาการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันผมสงสารใครที่สุด

ผมขอตอบว่า......ในหลวง


พระมหากษัตริย์ มิวายถูกใช้เป็นหนึ่งในเครื่องมือช่วงชิงวาทกรรมของแต่ล่ะฝ่าย

ตีกันไปตีกันมา คนที่โดนมากสุดก็ไม่พ้นในหลวงของเรา......


วันนี้ว่างครับ เลยได้โอกาสท่อง blog เล่น พอดีไปเจอ กระทู้และ blog น่าสนใจ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับในหลวงของเรา เลยขอเอามาแปะให้ทุกๆท่านได้ยลกัน

มา up ครานี้เนื้อหาค่อนข้างยาวครับ แต่ถึงจะยาวตอนที่ผมอ่านก็อ่านรวดเดียวหมดเลยนะ มันละสายตาไม่ได้เลยล่ะ แม้ว่าจะเริ่มมีน้ำตาปริ่มๆ นองๆ แล้ว ใครที่ต่อมน้ำตาตื้นแนะนำให้มีกระดาษทิชชู่ หรือไม่ก็ผ้าเช็ดหน้าเตรียมไว้ก็ดีนะครับ

สุดท้ายนี้ขอยกเครดิตให้กับกระทู้ "ครองใจคน" หลากเหตุผลที่คนไทยรักในหลวง ในเวบพันทิป และblog ของคุณจุ๋มด้วยนะครับ


เชิญยลได้

แล้วทุกท่านจะซึ้งว่า ความดีที่แท้นั้นมีจริง และมันไม่ได้อยู่ไกลตัวเราเลย.....

-----------------------


".... ผมเคยอยู่มาแล้วหลายแผ่นดิน แต่ก็ไม่เคยเห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวแผ่นดินใดที่คนทั้งเมืองเขาเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ให้ความเคารพบูชาอย่างสนิทสนมอย่างทุกวันนี้ ...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลก่อน ๆ ทรงครองแผ่นดิน แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลนี้ทรง "ครองใจคน.."

หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช



เรื่อง "เดิมพันของเรา"

ครั้งหนึ่ง เมื่อหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า "เคยทรงเหนื่อย ทรงท้อบ้างหรือไม่"ครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสตอบว่า ความจริงมันน่าท้อถอยหรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านคือเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ

ข้อมูลจาก ไทยรัฐ ฉบัย 5 ธ.ค.32


เรื่อง "ราษฎรยังอยู่ได้"

ปีพุทธศักราช 2513 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมราษฎรในตำบลหนึ่งของอำเภอเมืองพัทลุง อันเป็นแหล่งที่ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ปฏิบัติการรุนแรงที่สุดในภาคใต้เวลานั้น ด้วยความห่วงใยอย่างยิ่งล้น ทางกระทรวงมหาดไทยได้กราบบังคมทูลขอให้ทรงรอให้สถานการณ์ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เสียก่อน แต่คำตอบที่ทางกระทรวงมหาดไทยได้รับก็คือราษฎรเขาเสี่ยงภัยยิ่งกว่าเราหลายเท่า เพราะเขาต้องกินอยู่ที่นั่นเขายังอยู่ได้ แล้วเราจะขลาดแม้แต่จะไปเยี่ยมเยียนทุกข์สุขของ
เขาเชียวหรือ

ข้อมูลจากคำอภิปรายเรื่อง "พระบิดาประชาชน"

และมีอีกหนึ่งพระกระแสพระราชดำรัสที่เป็นคำตอบว่าเหตุใดจึงไม่อาจหยุดทรงงานได้...คนเราจะอยู่สุขสบายแต่คนเดียวไม่ได้ ถ้าคนที่อยู่ล้อมรอบมีความทุกข์ยาก ควรต้องแบ่งเบาความทุกข์ยากของเขาบ้าง ตามกำลังและความสามารถเท่าที่จะทำได้


"ดอกบัวจากหัวใจ"

ที่นครพนม บนเส้นทางรับเสด็จตรงสามแยกชยางกูร-เรณูนคร บายวันที่ 13 พ.ย. 2498 อาณัติ บุนนาค หัวหน้าส่วนช่างภาพประจำพระองค์ ได้บันทึกภาพในวินาทีสำคัญที่กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ภาพหนึ่งของประเทศภาพที่พูดได้มากกว่าคำพูดหนึ่งล้านคำ

วันนั้นหลังจากทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารเสร็จสิ้นในช่วงเช้าแล้ว ทั้ง 2 พระองค์ได้เสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่นั่งกลับไปประทับแรม ณ จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ราษฎรที่รู้ข่าวก็พากันอุ้มลูก จูงหลานหอบกันมารับเสด็จที่ริมถนนอย่างเนืองแน่น

ดังเช่นครอบครัวจันท์นิตย์ ที่ลูกหลายช่วยกันนำ แม่ตุ้ม จันทนิตย์ วัย 102 ปี ไปรอรับเสด็จ ณ จุดรับเสด็จห่างจากบ้าน 700 เมตร โดยลูกหลานได้จัดหาดอกบัวสายสีชมพูให้แม่เฒ่าจำนวน 3 ดอก และพาออกไปรอที่แถวหน้าสุดเพื่อให้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทที่สุด

เปลวแดดร้อนแรงตั้งแต่เช้าจนสาย เที่ยงจนบ่าย แผดเผาจนดอกบัวสายในมือเหี่ยวโรย แต่หัวใจรักภักดีของหญิงชรายังเบิกบาน เมื่อเสด็จฯ มาถึงตรงหน้า แม่เฒ่าได้ยกดอกบัวสายโรยราสามดอกนั้นขึ้นจบเหนือศีรษะแสดงความจงรักภักดีอย่างสุดซึ้ง พระเจ้าแผ่นดินทรงโน้มพระองค์อย่างต่ำที่สุด จนพระพักตร์แนบชิดกับศีรษะของแม่เฒ่า ทรงแย้มพระสรวลอย่างเอ็นดู พระหัตถ์แตะมือกร้านคล้ำของเกษตรกรชราชาวอีสานอย่างอ่อนโยน

เป็นคำบรรยายเหมือนไม่จำเป็น สำหรับภาพที่ไม่จำเป็นต้องบรรยาย ไม่มีใครรู้ว่าทรงกระซิบคำใดกับแม่เฒ่า แต่แน่นอนว่าแม่เฒ่าไม่มีวันลืม

เช่นเดียวกับที่ในหลวงไม่ทรงลืมราษฎรคนสำคัญที่ทรงพบริมถนนวันนั้น หลานและเหลนของแม่เฒ่าเล่าว่า "หลังจากเสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพฯ แล้ว ทางสำนักพระราชวังได้ส่งภาพรับเสด็จของแม่เฒ่าตุ้ม พร้อมทั้งพระบรมรูปหล่อด้วยปูนพลาสเตอร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานผ่านมาทางอำเภอพระธาตุพนมให้แม่เฒ่าตุ้มไว้เป็นที่ระลึก

พระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้นี้ อาจมีส่วนชุบชูชีวิตให้แม่เฒ่ายืนยาวขึ้นอีกด้วยความสุขต่อมาอีกถึงสามปีเต็ม ๆแม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์ ราษฎรผู้โชคดีที่สุดคนหนึ่งในรัชกาลที่ 9 สิ้นอายุขัยอย่างสงบด้วยโรคชราเมื่ออายุได้ 105 ปี

ข้อมูลจาก "แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์" ภาคพิเศษโดย คุณหญิงศรีนาถ สุริยะ วารสารไทย


"เขาเดินมาเป็นวัน ๆ"

"...มีอยู่ครั้งนึง ข้าพเจ้าอายุ 18 ปี ได้ตามเสด็จ...ตอนนั้นเป็นช่วงหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรทุกจังหวัดและอำเภอใหญ่ ๆ ก็เสด็จฯ ประมาณ 9 โมงเช้า เสด็จออกทรงเยี่ยมราษฎรมาเรื่อย ๆ

ทีนี้ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่า แหม นานเหลือเกิน ตอนนั้นยังไม่กางร่ม ตอนนั้นยังไม่ค่อยกลัวแดด ไม่ใส่หมวก ก็รู้สึกแดดเปรี้ยง หนังเท้านี้รู้สึกไหม้เชียว ก็เดินเข้าไปกระซิบท่านว่า พอหรือยัง ก็โดนกริ้ว

นี่เห็นไหมราษฎรเขาเดินมาเป็นวัน ๆ เพื่อมาดูเราแม้แต่นิดเดียว แต่นี่เรายืนอยู่ไม่เท่าไรล่ะ ตอนนี้ทนไม่ไหวเสียแล้ว..

พระราชดำรัสสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ วันที่ 11 ส.ค. 2534


"ต่อไปจะมีน้ำ"

บทความ "น้ำทิพย์สาดเป็นสายพรายพลิ้วทิวงาม ทั่วเขตคามชื่นธารา" เขียนโดย มนูญ มุกข์ประดิษฐ์ ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 5 ธ.ค.2528 ได้เล่าให้ผู้อ่านชาวไทยได้ประจักษ์ถึงเรื่องอัศจรรย์ของ "ในหลวง" กับ "น้ำ" ที่เกิดขึ้นในคำวันหนึ่งของเดือน ก.พ.2528

ด้วยความทุกข์ที่เปี่ยมล้นใจอันเนื่องมาจากต้องเผชิญความแห้งแล้งอย่างหนัก หญิงชราคนนึ่งที่มาเข้าเฝ้าฯ รับเสด็จได้คลานเข้ามากอดพระบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กราบบังคมทูลด้วยน้ำตาอาบแก้ม ขอพระราชทานน้ำ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสตอบว่า ยายไม่ต้องห่วงแล้วนะ ต่อไปนี้จะมีน้ำ เราเอาน้ำมาให้แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระดำเนินกลับไปยังรถพระที่นั่งซึ่งจอดห่างออกไปราว 5 เมตร ปรากฎว่าท่ามกลางอากาศที่ร้อนแล้ง จู่ ๆ ก็เกิดฝนตกลงมาเป็นครั้งแรกในรอบปี ทำให้ผู้ตามเสด็จและราษฎรในที่นั้นถึงกับงุนงงไปตาม ๆ กัน


"เก็บร่ม"

การเสด็จพระราชดำเนินทุกครั้ง แม้จะต้องเผชิญกับแดดร้อนหรือลมแรง ราษฎรก็ไม่เคยย้อท้อที่จะอดทนรอรับเสด็จให้ถึงที่สุด แม้ฝนจะตกหนักแค่ไหนก็ไม่มีใครยอมกลับบ้าน

ร้อยเอกศรีรัตน์ หริรักษ์ เล่าไว้ในบทความ "พระบารมีปกเกล้าฯ ที่อำเภอท่ายาง" ตีพิมพ์ในหนังสือ "72 พรรษาราชาธิราชเจ้านักรัฐศาสตร์" ว่า ครั้งหนึ่งที่โครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฎว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ราษฎรและข้าราชการที่มาเข้าแถวรอรับเสด็จต่างเปียกปอนกันหมด แต่ก็ยังตั้งแถวเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่อย่างนั้น

เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ นายตำรวจราชองค์รักษ์ที่ตามเสด็จได้เข้าไปกางร่มถวาย ทรงทอดพระเนตรเห็นบรรดาข้าราชการและราษฎรที่มายืนตั้งแถวรอรับเสด็จอยู่ต่างก็เปียกฝนโดยทั่วกัน

"จึงมีรับสั่งให้นายตำรวจราชอครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงพระดำเนินเยี่ยมข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเสด็จ โดยทรงเปียกฝนเช่นเดียวกับข้าราชการ และราษฎรทั้งหลายที่ยืนรอรับเสด็จในขณะนั้น"


"สิ่งที่ทรงหวัง"

ครั้งหนึ่งขณะเสด็จฯ เยี่ยมเยียนราษฎรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้สื่อข่าวต่างประเทศคนหนึ่งได้ขอพระราชทานสัมภาษณ์ และได้กราบบังคมทูลถามว่า การที่เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรและมีโครงการตามพระราชดำริเกิดขึ้นมากมายนั้นทรงหวังว่าจะให้คอมมิวนิสต์น้อยลงใช่หรือไม่

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรบสั่งตอบว่า

"มิได้ทรงสนพระทัยว่าคอมมิวนิสต์จะน้อยลงหรือไม่ แต่ทรงสนพระทัยว่าประชาชนของพระองค์จะหิวน้อยลงหรือไม่


"รักถึงเพียงนี้" และ "จุดเทียนส่งเสด็จ"

บทความชื่อ "แผ่นดินร่มเย็นที่นราธิวาส" ตีพิมพ์ในนิตยสาร "สู่อนาคต" ฉบับพิเศษเนื่องในวันเฉลิมฯ ได้เล่าย้อนให้เราได้เห็นภาพความยากลำบากในการเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรทางภาคใต้เมื่อหลายปีก่อน

โดยเฉพาะช่วงก่อนสร้างพระราชตำหนักทักษิณราชนิเวศน์นั้น เป็นที่รู้กันว่าจังหวัดนราธิวาสชุกชุมไปด้วยโจรร้าย โจรปล้นสะดมและพวกโจรเรียกค่าไถ่ ถึงขนาดที่ในหลาย ๆ หมู่บ้านนั้น แม้แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐก็ไม่กล้าย่างกรายเข้าไป

ทว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักในทุกข์อันลึกล้ำของชาวบ้านที่ทั้งทุกข์เพราะยากจนและทุกข์เพราะภัยคุกคาม จึงได้เสด็จฯ ลงไปเยี่ยมเยียนเป็นขวัญกำลังใจให้ราษฎรของพระองค์โดยไม่ทรงหวาดหวั่น บางวันถึงกับเสด็จฯ เป็นการส่วนพระองค์โดยปราศจากกำลังอารักขา และบางหมู่บ้านตำรวจเพิ่งถูกคนร้ายแย่งปืนแล้วยิ่งตายก่อนเสด็จไปถึงเพียงไม่กี่ชั่วโมง

ทรงรักราษฎรถึงเพียงนี้ จึงไม่แปลกที่หญิงชราคนหนึ่งในหมู่บ้านหนึ่งของอำเภอรือเสาะจะ .."เข้ามาเกาะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวร้องไห้แล้วบอกว่า ไม่นึกเลยว่าพระเจ้าอยู่หัวเป็นคนไทยชาวพุทธ จะมารักมุสลิมได้ถึงขนาดนี้"

..บทความเดียวกันได้เปิดเผยต่อไปอีกว่า ที่อีกหมู่บ้านหนึ่งในอำเภอเดียวกันนั้น "โต๊ะครูได้พาพรรคพวกมายืนรอรับเสด็จแล้วพูดขึ้นว่า ..รายอกลับไปเถอะ ประไหมสุหรีกลับไปเถิด ประเดี๋ยวพวกโจรจะลงจากเขา..."

และเมื่อถึงเวลาเสด็จฯ กลับที่มืดสนิทอย่างน่ากลัว โต๊ะครูกับชาวบ้านก็พากันมาจุดเทียนส่งเสด็จตลอดเส้นทางอันตราย ด้วยความห่วงใยใน "รายอ" และ "ประไหมสุหรี" หรือ พระราชาพระราชินีของพวกเขาอย่างสุดซึ้ง


"รถติดหล่มกับถนนสายนั้น"

หากย้อนกลับไปค้นหาจุดเริ่มต้นของพระราชกรณียกิจในด้านการพัฒนาแล้ว ชื่อของ "ลุงรวย" และ "บ้านห้วยมงคล" คือสองชื่อที่ลืมไม่ได้

เรื่องราวของ "ลุงรวย" เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2495 หรือมากกว่าห้าสิบปีล่วงมาแล้ว ที่บ้านห้วยมงคล ตำบลหินเหล็กใน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

บ้านห้วยมงคลนี้อยู่ทั้ง "ใกล้และไกล" ตลาดหัวหิน ใกล้เพราะระยะทางที่ห่างกันนั้นไม่กี่กิโลเมตร แต่ไกลเพราะไม่มีถนน หากชาวบ้านจะขนพืชผักไปขายที่ตลาดต้องใช้เวลาเป็นวัน ๆ

ห่างไกลความเจริญถึงเพียงนี้ แต่วันหนึ่งกลับมีรถยนต์คันหนึ่งมาตกหล่มอยู่ที่หน้าบ้านลุงรวย เมื่อเห็นทหารตำรวจกว่าสิบนายระดมกำลังกันช่วยรถคันนั้นขึ้นจากหล่ม

ลุงรวยผู้รวยน้ำใจสมชื่อก็กุลีกุจอออกไปช่วยทั้งงัด ทั้งดัน ทั้งฉุด จนที่สุดล้อรถก็หลุดจากหล่มเมื่อรถขึ้นจากหล่มแล้ว ลุงรวยจึงได้รู้ว่ารถคันที่ตัวทั้งฉุดทั้งดึงนั้นเป็นรถยนต์พระที่นั่งและคนในรถนั้นคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระราชินีนาถ

แม้จะตื่นเต้นตกใจที่ได้เฝ้าฯ ในหลวงอย่างไม่คาดฝัน แต่ลุงรวยก็ยังจำได้ว่าวันนั้น "ในหลวง" มีรับสั่งถามลุงว่า หมู่บ้านนี้มีปัญหาอะไรบ้าง..

ลุงได้กราบบังคมทูลว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดคือไม่มีถนน จึงนอกจากจะโชคดีได้รับพระราชทาน "เงินก้นถุง" จำนวน 36 บาท ซึ่งลุงนำไปเก็บใส่หีบบูชาไว้เป็นสิริมงคลจนถึงทุกวันนี้แล้ว

อีกไม่นานหลังจากนั้น ลุงรวยก็ได้เห็นตำรวจพลร่มกลุ่มหนึ่งเข้ามาช่วยกันไถดินที่บ้านห้วยมงคล และเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น ชาวบ้านก็ได้ถนนพระราชทาน

ถนนห้วยมงคลที่ทำให้ชาวไร้ห้วยมงคลสามารถขนพืชผักออกมาขายที่ตลาดหัวหินได้ภายในเวลาเพียง 20 นาที


"สามร้อยตุ่ม"

มีหลายหนที่ทรงงานติดพันจนมืดสนิท ท่ามกลางฝูงยุงที่รุมตอมเข้ามากัดบริเวณพระวรกาย รอบพระศอ พระกร พระพักตร์ รวมทั้งแมลงตาง ๆ ที่เข้ามารุมรบกวนพระองค์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะยังทรงทอดพระเนตรแผนที่อยู่ภายใต้แสงไฟฉายที่มีผ้ส่องถวายอยางไม่สะดุ้งสะเทือน อย่างมากที่ทรงทำคือโบกพระหัตถ์ปัดไล่เบา ๆ เท่านั้น

ครั้งหนึ่งทรงมีรับสั่งเล่าเรื่อง "ยุง" ด้วยพระอารมณ์ขันว่า

"..ที่บางจาก แต่ไม่มีจากหรอกนะ ยุงชุมมากเลย ไปยืนดูแผนที่ เลยโดนยุงรุมกัดขาทั้งสองข้าง กลับมาขาบวมแดง ไปสกลนครกลับมาแล้วถึงได้ยุบลง มองเห็นเป็นตุ่มแตง ลองนับดูได้ข้างละร้อยห้าสิบตุ่ม สองข้างรวมสามร้อยพอดี.."


"น้ำท่วมครั้งนั้น"

วันที่ 7 พ.ย. 26 ขณะที่ชาวกรุงเทพมหานครส่วนหนึ่งกำลังทนทุกข์หนักกับสภาพน้ำท่วมขัง น้อยคนที่จะรู้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกำลังทรงพยายามหาหนทางบรรเทาทุกข์ให้พวกเขาอยู่อย่างเงียบ ๆ

วันนั้นรถพระที่นั่งแวนแวคคอนเนียร์ แล่นออกจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ราวบ่ายสองโมงเศษ สู่ถนนศรีอยุธยาเลี้ยวขวาเข้าถนนเพชรบุรี มุ่งสู่ถนนบางนาตราด

ไม่มีหมายกำหนดการ ไม่มีการปิดถนน แม้แต่ตำรวจท้องที่ก็ไม่ทราบล่วงหน้า

รถยนต์พระที่นั่งชะลอเป็นระยะ ๆ เพื่อทรงตรวจดูระดับน้ำ จนเมื่อถึงคอสะพานสร้างใหม่ที่คลองลาดกระบัง จึงเสด็จลงจากรถยนต์พระที่นั่งเพื่อทรงหารือกับเจ้าหน้าที่ที่ตามเสด็จ

ทรงฉายภาพด้วยพระองค์เอง ทรงกางแผนที่ทอดพระเนตรจุดต่าง ๆ จนถึงเวลาบ่ายคล้อย รถยนต์พระที่นั่งจึงแล่นกลับ เมื่อถึงสะพานคลองหนองบอน รถพระที่นั่งหยุดเพื่อให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงฉายภาพบริเวณน้ำท่วมและทรงศึกษาแผนที่ร่องน้ำอีกครั้ง

ปรากฎว่าชาวบ้านทราบข่าวว่า "ในหลวงมาดูน้ำท่วม" ต่างก็พากันมาชมพระบารมีนับร้อย ๆ คน จนทำให้การจราจรบนสะพานเกิดการติดขัด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงโบกพระหัตถ์ให้รถขบวนเสด็จผ่านไปจนเป็นที่เรียบร้อยด้วยพระองค์เอง


"เชื่อมั่น"

เย็นย่ำแล้วแต่ขบวนรถยนต์พระที่นั่งยังไม่หมดภารกิจ เมื่อรถวิ่งกลับมาทางถนนพัฒนาการ ทรงแวะฉายภาพบริเวณคลองตัน ทอดพรเนตรระดับน้ำแล้วทรงวกกลับมาที่คลองจิก

เวลานั้นฟ้ามืดแล้วเพราะเป็นเวลาจวนค่ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงนำไฟฉายส่วนพระองค์ออกมาส่องแผนที่ป้องกันน้ำท่วมและแนวพนังกั้นน้ำอยู่เป็นเวลานาน

กลายเป็นอีกภาพหนึ่งที่สร้างความตื้นตันใจแก่ประชาชนชาวกรุงเทพฯ อย่างยิ่ง

ประชาชนคนหนึ่งในละแวกเคหะนคร 1 แขวงบางบอน เขตประเวศ บอกว่า "รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่ทรงห่วงใยทุกข์ของราษฎร เสด็จฯ มาแก้ไขปัญหาน้ำท่วมด้วยพระองค์เอง พวกเราถึงจะทนทุกข์เพราะน้ำท่วมขังเน่ามาเป็นเวลานานก็เชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงช่วยพวกเราได้อย่างแน่นอน"


"ฉันทนได้"

ในเดือนหนึ่งของปี 2528 พระทนต์องค์หนึ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหักเฉียดโพรงประสาทฟัน พระทนต์องค์นั้นต้องการการถวายการรักษาเร่งด่วน แต่ขณะนั้นกรุงเทพฯ ก็กำลังประสบปัญหาอุทกภัย ต้องการการบรรเทาทุกข์เร่งด่วนเช่นกัน

เมื่อทันตแพทย์เข้ามาถวายการรักษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งถามว่า "จะใช้เวลานานเท่าใด"

ทันตแพทย์กราบบังคมทูลว่า อาจต้องใช้เวลา 1-2 ชม.
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า

"ขอรอไว้ก่อนนะ ฉันทนได้ วันนี้ขอไปดูราษฏรและช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำท่วมก่อน"


"คำสอนประโยคเดียว"

เมื่อนิตยสาร "สไตล์" ฉบับปี 2530 ได้ตั้งคำถามกับ ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล ถึง "คำสอน" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ประทับอยู่ในหัวใจ ดร.สุเมธ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเลขานุการ กปร. ตอบว่า คำสอน "ประโยคเดียวก็เกินพอนั้นคือพระราชดำรัสที่ว่า

"มาอยู่กับฉันนั้น ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากความสุขที่จะมีร่วมกันในการทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น"


"ดีใจที่สุด"

สำหรับผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์มืดมน พระบรมฉายาลักษณ์ไม่เพียงเป็นรูปเคารพบูชา แต่ยังเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของความศรัทธาที่ช่วยให้มีแรงต่อสู้กับความทุกข์ต่อไปได้ ดัง คุณยายละเมียด แสงเนียมวัย 72 ปี ชาวจังหวัดชุมพร ผู้ที่เผชิญกับอุทกภัยภาคใต้ในปี 2540 น้ำท่วมบ้านสูงมากจนอยู่อาศัยไม่ได้

"อยู่ ๆ น้ำก็ท่วมมาเร็วมาก ยายต้องไปขออาศัยบ้านคนอื่นเขาอยู่ ต่อมาก็ขึ้นไปอยู่ชั้นบน ออกไปไหนไม่ได้เลย...พอดีที่บ้านนี้เขาปลูกมะละกอ ต้นมันสูงมาถึงหน้าต่างเราก็เอื้อมถึงพอดี เลยได้กินข้าวกับมะละกอ ก็กินมาสามวัน มาเมื่อวานผู้ใหญ่บ้านมาบอก มูลนิธีในหลวงจะเอาของมาแจกยายคิดเลยว่า ไม่อดตายแล้ว ทุกครั้งที่คนไทยเดือดร้อน ในหลวงจะให้ความช่วยเหลือทุกครั้ง

ของที่ยายได้มา ที่ดีใจที่สุดคือมีรูปของท่านมาด้วย ที่บ้านเสียหายหมดแล้ว ยายจะเอารูปท่านไว้บูชา

ยายพูดแล้วก็ก้มลงกราบพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยความจงรักสุดหัวใจ


"ทุกข์บรรเทา"

การ "ประทับอยู่ในบ้านเมือง" ดังพระราชดำรัสนั้น ในเวลาต่อมาก็เป็นที่รู้กันว่ามิได้หมายถึงการประทับอยู่ในเมืองหลวงเท่านั้น แต่ยังเสด็จฯ เยี่ยมเยียนราษฎรของพระองค์จนแทบจะทั่วทุกตารางนิ้วที่พระบาทจะย่างไปถึงได้

ทรงวิทย์ แก้วศรี ผู้เรียบเรียงบทความ "บรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าผู้ทรงพระคุณธรรมอันประเสริฐ" บันทึกไว้ว่า วันที่ 13 ก.ย 2497 ขณะที่ทรงมีพระชนมายุ 26 พรรษา และทรงครองราชย์เป็นปีที่ 8

ปรากฎว่าเกิดเหตุการณ์อัคคีภัยครั้งร้ายแรงขึ้นที่อำเภอบ้านโป่ง จ.ราชบุรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยือนราษฎรขาวบ้านโป่งผู้ประสบภัยในพื้นที่ ทรงทอดพระเนตรบริเวณที่เกิดเพลิงไหม้และพระราชทานสิ่งของบรรเทาทุกข์

ทุกข์ในยามยากเพราะสิ้นเนื้อประดาตัวจากภัยเพลิงนั้นมากล้น แต่ เมื่อได้รู้ว่ายังมีใครสักคนคอยเป็นกำลังใจ ทุกข์สาหัสแค่ไหนก็ยังพอมีแรงกายลุกขึ้นสู้ต่อได้

การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฎรผู้ประสบภัยในครั้งนั้น นับได้ว่าเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรต่างจังหวัดเป็นครั้งแรกในรัชกาล


"141 ตัน"

เป็นที่รู้กันดีว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเริ่มเสด็จฯ พระราชทานปริญญาบัตรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 และหลังจากนั้นบัณฑิตทุกคนก็เฝ้ารอที่จะได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์อย่างใจจดใจจ่อ

ภาพถ่ายวันรับพระราชทานปริญญาบัตรกลายเป็นของล้ำค่าที่ต้องประดับไว้ตามบ้านเรือนและเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จของหนุ่มสาวและความภาคภูมิใจของบิดามารดา

จน 29 ปีต่อมามีผู้คำนวณให้ฉุกใจคิดกันว่าพระราชภารกิจในการพระราชทานปริญญาบัตรนั้นเป็นพระราชภารกิจที่หนักหน่วงไม่น้อย หนังสือพมพ์ลงว่าหากเสด็จฯพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละราว 3 ชม. เท่ากับทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทานใบปริญญาบัตร 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมดที่พระราชทานมาแล้ว 141 ตัน

ไม่เพียงเท่านั้น ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ยังเล่าเสริมให้เห็น "ความละเอียดอ่อนในพระราชภารกิจ" ที่ไม่มีใครคาดถึงว่า..

"ไม่ได้พระราชทานเฉย ๆ ทรงทอดพระเนตรอยู่ตลอดเวลา โบหลุดอะไรหลุดพระองค์ท่านทรงผูกโบว์ใหม่ให้เรียบร้อย บางครั้งเรียงเอกสารไว้หลายวัน ฝุ่นมันจับ พระองค์ท่านก็ทรงปัดออก"


"สุขเป็นปี ๆ"

ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้กราบบังคมทูลขอพระราชทานให้ทรงลดการเสด็จฯ พระราชทานปริญญาบัตรลงบ้าง โดยอาจงดเว้นการพระราชทานปริญญาบัตรในระดับป.ตรี คงไว้แต่เพียงระดับปริญญาโทขึ้นไป

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกลับมีพระราชกระแสรับสั่งตอบว่า พระองค์เองเสียเวลายื่นปริญญาบัตรให้บัณฑิตคนละ 6-7 วินาทีนั้น แต่ผู้ได้รับนั้นมีความสุขเป็นปี ๆ เปรียบกันไม่ได้เลย

ที่สำคัญคือ ทรงเห็นว่าการพระราชทานปริญญาสำหรับผู้สำเร็จป.ตรี นั้นสำคัญ เพราะบางคนอาจไม่มีโอกาสศึกษาชั้นปริญญาโทและปริญญาเอก ดังนั้น "จะพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตปริญญาตรีไปจนกว่าจะไม่มีแรง.."


สุดท้าย แต่ยังไม่ท้ายสุด
"พระมหากษัตริย์"

เมื่อมีผู้สื่อข่าว bbc ขอพระราชทานสัมภาษณ์เพื่อประกอบภาพยนตร์เรื่อง The Soul of Nation ในปี 2522 โดยได้กราบบังคมทูลถามถึงพระราชทัศนะเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของพระมหากษัตริยไทย พระองค์ได้พระราชทานคำตอบว่า

"การที่จะอธิบายว่า พระมหากษัตริย์ คืออะไรนั้น ดูเป็นปัญหาที่ยากพอสมควร โดยเฉพาะในกรณีของข้าพเจ้า ซึ่งถูกเรียกโดยคนทั่วไปว่า พระมหากษัตริย์ แต่โดยหน้าที่ที่แท้จริงแล้ว ดูจะห่างไกลจากหน้าที่ที่พระมหากษัตริย์ที่เคยรู้จักหรือเข้าใจกันมาแต่ก่อน

หน้าที่ของข้าพเจ้าในปัจจุบันนั้น ก็คือทำอะไรก็ตามที่เป็นประโยชน์ ถ้าถามว่า ข้าพเจ้ามีแผนการอะไรบ้างในอนาคต คำตอบก็คือไม่มี เราไม่ทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เราก็จะเลือกทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เพียงพอแล้วสำหรับเรา



ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 15 ปีที่แล้วขณะที่ “วาเด็ง ปูเต๊ะ” ผู้เฒ่าวัย 70 ปีแห่งบ้านบาเลาะ ต. ปะเสยะวอ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการดูแลต้นทุเรียนและลองกองในสวน ช่วงเวลาใกล้ค่ำได้เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา หนึ่งในจำนวนนั้นได้กวักมือเรียกให้เข้าไปหา แต่ตัวผู้เฒ่าเองกลับรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าเข้าใกล้

ผู้เฒ่าเห็นทหารกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา และบอกกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตรความเป็นไปได้ในการสร้างอาคารกั้นน้ำที่คลองน้ำจืดบ้านทุ่งเค็จ ต.แป้น อ.สายบุรี

“ตอนนั้นเป๊าะทราบแล้วว่าเป็นในหลวง แต่จะเข้าไปใกล้ๆ ก็ไม่กล้า เพราะว่านุ่งโสร่งตัวเดียว ไม่ได้สวมเสื้อ พอเข้าไปใกล้ๆ ในหลวงก็บอกว่า จะมาขุดคลองชลประทานให้ พอได้ยินอย่างนั้น เป๊าะก็ดีใจมาก คุยกันเยอะ ท่านถามว่าถ้าขุดคลองสายทุ่งเค็จนี้จะไปสิ้นสุดลงที่ตรงไหน เป๊าะบอกท่านว่าคลองเส้นนี้มีที่ดินติดเขต ต.แป้น ทางเหนือขึ้นไปสุดที่ อ.ศรีสาคร ในหลวงถามต่อว่า ถ้าไปออกทะเลจะมีกี่เกาะ เป๊าะก็ตอบท่านไปว่ามี 4 เกาะ ท่านก็ชมว่า เก่งสามารถจำทุกที่ที่ผ่านไปได้ แล้วท่านก็เปิดดูแผนที่ที่นำมาด้วย แล้วบอกว่า เป๊าะรู้จริง ไม่โกหก ทุกสิ่งที่เป๊าะบอกมีอยู่ในแผนที่ของพระองค์แล้ว” เป๊าะเด็งในวัย 90 ปีทบทวนความทรงจำด้วยแววตาสดชื่น

“ในหลวงคุยกับเป๊าะเป็นภาษามลายู ท่านพูดมลายูสำเนียงไทรบุรี คุยกันก็เข้าใจเลยพอเจอกันบ่อยๆ คุยกัน มีความเห็นตรงกัน ท่านก็เลยรับเป๊าะเป็นพระสหาย เป๊าะบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่บอกท่านไป ทั้งหมดเป็นความจริง พูดโกหกไม่ได้จะเป็นบาป ” เป๊าะเด็๋ง กล่าว

หลังจากได้กราบบังคมทูลเส้นทางขุดคลองในโครงการพระราชดำริแล้ว ในครั้งนั้นผู้เฒ่าแห่งบ้านเบาะเลาะ ยังได้ถวายที่ดินเพื่อดำเนินโครงการพระราชดำริอีกด้วย และหลังขุดคลองชลประทานดังกล่าวเสร็จแล้ว ทุกครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาทรงงานและประทับแปรพระราชฐานที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาส เป๊าะเด็งก็จะไปเข้าเฝ้าฯ แทบทุกครั้ง หรือบางครั้งถ้าหากคิดถึงพระองค์มากๆ เป๊าะเด็งก็จะไปขอเข้าเฝ้าถึงพระราชวังสวนจิตรลดา

“เวลาถึงหน้าทุเรียน ลองกอง จำปาดะ ก็จะนึกถึงในหลวงตลอด ถ้าท่านมาที่นี่ ก็เอาไปถวายที่นี่ บางปีท่านไม่ได้มา เป็าะก็ส่งผลไม้ไปถวายท่าน ทางไปรษณีย์ ส่งอีเอ็มเอสไปเลย เวลาไปส่ง เป๊าะเขียนหนังสือไม่เป็น ก็บอกเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ว่า จะส่งของไปให้ในหลวงที่สวนจิตร เขาก็จัดการให้” เป๊าะเด็ง เล่าด้วยภาษามลายูผ่านล่าม

เป๊าะเด็ง บอกว่า ผลไม้ที่ส่งไปถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถนั้นถึงพระหัตถ์เสมอ เพราะทุกครั้งที่มีโอกาสได้เข้าเฝ้า ทั้งสองพระองค์มักจะมีรับสั่งว่า “ขอบใจ ผลไม้ที่ส่งไปให้ ได้รับแล้ว”

เมื่อเร็วๆ นี้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้เสด็จโดยรถยนต์พระที่นั่งมาเยี่ยมเยียนราษฎรที่บ้านละเวง เป๊าะเด็งก็ได้ไปเข้าเฝ้า

“บอกท่านว่า จะเอาเงาะ ลองกองมาให้ ท่านก็บอกว่า ไม่เอา ปีนี้ผลไม้ราคาไม่ดี ไม่มีคนเข้ามาซื้อ ลำบาก ให้เป๊าะเก็บไว้ให้ลูกหลานกินเถอะ เมื่อวันก่อนในหลวงก็ฝากอินทผลัมมาให้ เป๊าะเองเวลามีผลไม้ดีๆ จะคิดถึงท่านมากๆ ลูกๆ ของท่านทุกคนเวลามา เป๊าะก็ได้ไปหา ทุกคนพูดภาษามลายูได้”

เป็าะเด็ง เล่าว่า เสียค่าส่งผลไม้ไปถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครั้งละ 1,000 กว่าบาท เป๊าะเด็งอยากให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถได้เสวยผลไม้ที่ส่งไปถวาย เช่นเดียวกับที่ดินที่ถวายไป เป็าะเด็งก็ไม่เคยคิดเสียดายแม้แต่น้อย และหากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระประสงค์จะใช้ประโยชน์ที่บริเวณไหนที่เป็นของเป๊าะเด็งแล้ว เป๊าะเด็งพร้อมที่จะทูลเกล้าฯถวายให้ทั้งหมด“

เมื่อในหลวงมาที่ อ.แม่ลานครั้งล่าสุด พอเจอเป๊าะก็เข้าไปกอดเลยไม่ได้พูดอะไรกับท่าน ท่านรู้นิสัยเป๊าะดีว่าไม่ค่อยพูดอะไร ท่านก็เรียกเป๊าะ”

“คิดถึงท่านที่สุดเลย” เป๊าะเด็ง บอกผ่านล่ามเมื่อถูกถามว่ารู้สึกอย่างไรหากไม่ได้เจอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนานๆเป๊าะเด็ง ยังกล่าวถึงปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า

“ไม่รู้ว่าโคลนมาจากไหน” เพราะที่ผ่านมาไทยพุทธและมุสลิมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ชาวบ้านด้วยกันเองไม่เคยมีความขัดแย้งแบ่งแยก แต่ปัญหานี้ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ออกไปทำมาหากินไม่ได้ ไม่กล้าออกไปทำงาน ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์รู้สึกไม่สบายใจเลย เพราะศาสนาไม่เคยทำให้เกิดความแตกต่างหรือทำให้เกิดการแตกแยกกัน

แม้จะมีปัญหาความไม่สงบเกิดขึ้นอยู่ทั่วไปพื้นที่ต่างๆ แต่สำหรับความรู้สึกของชาวไทยมุสลิมอย่างเป๊าะเด็ง ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่เคยมีความรู้สึกแบ่งฝักฝ่ายและความสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้านทั้งไทยพุทธและมุสลิม ในหมู่บ้านโดยเฉพาะกับคนรุ่นเก่าๆ ยังเหมือนเดิม

“คนที่ไม่หวังดี มีน้อย ถ้าเป็นผู้ไม่หวังดีจริงๆ เขาจะเข้าไปอยู่ในป่า แต่อยู่หลายๆ วันจะอยู่ได้ยังไง เป๊าะสงสัยจะเป็นคนอื่น คนก่อการร้ายเดี๋ยวนี้ไม่ได้อยู่ในป่าเหมือนก่อน แต่มักจะอยู่ในตลาดไม่รู้ว่าเป็นแผนการของใคร ปัญหานี้ชาวบ้านหนักใจแต่ในหลวงคงหนักใจยิ่งกว่าพวกเราอีก เพราะประชาชนของพระองค์เดือดร้อน”

เมื่อถามว่าคิดอย่างไรกับปัญหาที่รัฐอ้างว่าความไม่สงบที่เกิดขึ้นเพราะมีกลุ่มคนที่ต้องการแบ่งแยกดินแดน และมีการเรียกร้องเอารัฐปัตตานีกลับคืน เป๊าะเด็ง กล่าวว่าการนำรัฐปัตตานีคืนจะเป็นไปได้อย่างไรที่คนสามจังหวัดจะอยู่กันอย่างแคบๆ ประเทศเปรียบเหมือนรั้วบ้าน อยู่ที่กว้างๆ กับอยู่ที่แคบๆ อย่างไหนดี

กว่ากัน ต้องถามชาวบ้านว่าต้องการแบบไหนดี“สิ่งพูดออกมาเป็นความจริงทั้งนั้น เมื่อก่อนเราจะไปไหนมาไหนไม่ต้องเป็นห่วง แต่ทุกวันนี้จะออกไปไหนก็ไม่สบายใจ เป๊าะก็กลัว ชาวบ้านแถวนี้ก็กลัวไม่กล้าออกไปไหน กลัวเขาซุ่มอยู่ในป่า” เป๊าะเด็ง กล่าว

เมื่อถามว่าเขาที่ว่านี้เป็นใคร? คำตอบสั้นๆ ที่ได้รับจากผู้เฒ่าใจดีคนนี้คือ “ไม่รู้เหมือนกันถ้ารู้ก็จะไปบอกในหลวง”“ทุกคนรู้จักลุงวาเด็ง”

อภิรักษ์ สะมะแอ นายอำเภอสายบุรี:

“ลุงวาเด็งเป็นที่รู้จักของชาวบ้านและข้าราชการใน ต.ปะเสยะวอดี เพราะเป็นผู้ถวายที่ดินตามโครงการพัฒนาพรุแฆแฆ เพื่อขุดคลองชลประทาน เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินในปี 2535

ลุงเป็นพระสหายของในหลวงจริงๆ ทุกพระองค์ที่เสด็จฯ แปรพระราชฐานมาที่นราธิวาส จะเชิญลุงวาเด็งเข้าเฝ้าทุกครั้ง เมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา ท่านองคมนตรีพลากร สุวรรณรัตน์ได้นำอินทผลัมพระราชทานจากในหลวงไปมอบให้ลุงวาเด็งที่บ้าน แกจะเป็นห่วงในหลวงมากๆเวลาหน้าผลไม้ก็จะส่งผลไม้อีเอ็มเอสทางไปรษณีย์ไปถวายในหลวงทุกปี ลุงผูกพันกับในหลวงมากๆ ตอนที่ทราบข่าวว่าคุณพุ่มถึงแก่อสัญกรรม ก็อยากจะไปเฝ้าในหลวง แต่ก็ไม่ได้ไป

ลุงวาเด็งเป็นคนแก่ที่มีอัธยาศรัยไมตรีดี เป็นคนน่ารักไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร เมื่อตอนที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จฯ มาประทับที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ ลุงก็ได้มีโอกาสไปเข้าเฝ้า”