สำหรับตอนนี้ผมขอใช้พื้นที่ประกาศจุดยืนทางการเมืองเสียหน่อย เพราะเดี๋ยวเกรงว่าทุกท่านจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่
สำหรับผมเองไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหารด้วยเหตุผลประการใดทั้งปวง การที่อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนั้น มันก็ไม่ต่างกับการการโยนเนื้อเข้าปากเสือซักเท่าใด ดังนั้นแล้วการกระทำดังกล่าวมันจึงยังผลให้ประเทศชาติต้องแบกรับ "ความเสี่ยง" เป็นมูลค่ามหาศาล
ในทางกลับกัน เมื่อย้อนไปดูระบอบทักษิณ แม้ว่าจะไม่มีการทำรัฐประหารอย่างเป็นรูปธรรม แต่ก็กลายๆ ว่าจะเป็นการรวมอำนาจเบ็ดเสร็จไว้เช่นกัน ดังนั้นแล้ว มันก็เป็นการ "เสี่ยง" เหมือนกัน ที่จะให้ประเทศชาติดำเนินไปภายใต้กลไกดังกล่าว
ภายใต้สถานการณ์ที่ต้องเลือก (โดยไม่มีทางเลือก) จึงทำให้สภาพการของผมเป็นไปในลักษณะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทางโน้นก็ไม่ ทางนี้ก็ไม่ แต่ก็โล่งในเปลาะหนึ่งที่การทำรัฐประหารที่ผ่านมายังไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงใดๆเกิดขึ้น
แต่อนาคตเป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดา ผมเองก็ไม่มั่นใจว่าคณะปฎิรูปฯ จะสามารถคงสภาพ "นิ่ง" อย่างที่เป็นอยู่ได้นานขนาดไหน หากต้องเผชิญกับกลุ่มที่ต่อต้านหรือไม่เห็นด้วย หากฝ่ายที่กุมอำนาจอยู่เกิดสติขาดผึงขึ้นมา อันนี้ก็ตัวใครตัวมันแหละท่านเอ๋ย
นอกจากจะไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงแล้ว เรายังได้เห็นภาพที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นการทำรัฐประหารเกิดขึ้นอย่างทั่วหล้า ภาพที่ประชาชน พ่อ แม่ ลูกเด็กเล็กแดง แห่แหนกันไปถ่ายรูปกับทหารและรถถัง เด็กปีนป่ายเล่นกัน แถมมีแม่ยกไปให้พวงมาลัยพร้อมด้วยเครื่องดื่มชูกำลัง เป็นภาพที่น่ารักยิ่งนัก
ผมว่าภาพนี้มันสามารถตีความได้สองประเด็น
ประเด็นแรกคงเป็นไปในทางที่คณะปฏิรูปฯ ต้องการให้เป็นก็คือแสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์ความเป็นโคตรสยามเมืองยิ้มของประเทศไทย ที่แม้ว่าจะมีการรัฐประหารเกิดขึ้น แต่ประชาชนก็ยังอยู่ด้วยรอยยิ้มสดใสได้ อีกทั้งยังไม่มีความรุนแรงใดๆเกิดขึ้น ในแง่นี้ถ้ามองในแง่เศรษฐกิจแล้ว ถือว่าส่งผลต่อทิศทางของนักลงทุน (ทั้งไทยและต่างชาติ) พอควรเลย เพราะหลายๆคนเชื่อว่าก่อนหน้าจะมีการปฏิวัติการเมืองค่อนข้างลุ่มๆ ดอนๆ เพราะมีหลายฝ่ายตะเบงใส่กันเหลือเกิน ซึ่งจะแลไปแล้วมันเป็นภาพที่ดูไม่นิ่งนัก แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการหลังทำปฏิวัติ ที่ขาตะเบงทั้งหลายฝ่อลงไป การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลเก่าออก อาจจะทำให้ภาพการเมืองเราดูนิ่งขึ้นไปกว่าเดิมก็ได้ (ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นมุมมองจากตัวผมเอง ผิดพลาดพลั้งอย่างไรก็ขออภัย และส่วนตัวผมยังเชื่อต่อไปว่า ตัวกำหนดเศรษฐกิจไม่จำเป็นที่จะต้องขึ้นอยู่กับพวกนักลงทุนแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ทำไงได้ ทุกวันนี้เราก็มักจะอ้างตัวนี้เป็นตัวหลักประจำ เอ้อ เลยขอตามน้ำหน่อย)
ในระยะสั้นเศรษฐกิจคงได้รับผลกระทบ (บ้าง)แต่ในระยะยาวถ้าหากคณะปฏิรูปฯ สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามที่ประกาศไว้คิดว่าการแกว่งตัวทางเศรษฐกิจคงมีไม่มากนัก และคงไม่ห่างจากที่ผู้เชียวชาญได้คาดการณ์ไว้
ซึ่งในส่วนนี้ถ้าจะหาเหตุผลสนับสนุนว่าทำไมการทำรัฐประหารจึงเป็นไปได้อย่างเรียบร้อยนั้น ด้วยข้อมูลน้อยๆ และปัญญานิดๆ ของผมคิดว่า คงมาจากการวางแผนที่เฉียบขาดของหัวหน้าคณะปฏิรูปฯ ที่กระทำการเข้าตี (แบบซุ่มเงียบ) อย่างฉับไวรวดเร็วทันใจกว่า พิซซ่า ฮัท อีกทั้งนายกทักษิณในขณะนั้นอยู่ที่ต่างประเทศจึงเป็นการยากที่จะแก้มือได้อย่างทันท่วงที
อีกข้อที่สำคัญก็คือ กลุ่มผู้คนที่เป็นศูนย์กลางทางการเมืองส่วนใหญ่คิดว่ามีใจที่ไม่เอนเอียงไปทางทักษิณเท่าใดนัก จึงเกิดอาการเจต่อต้านน้อย แต่อาการใจยังคงมีอยู่ (ฮา) ภายใต้การเปลี่ยนแปลงที่สงบเรียบร้อยขนาดนี้ แถมในใจลึกๆก็ไม่ค่อยจะเอนเอียงไปทางอดีตนายก ท่าทีของประชาชนจึงออกไปในทางที่จะสนับสนุนคณะปฏิรูปมากกว่าที่จะไปตะเบงต่อต้าน (ผมคิดว่ากลุ่มที่สนับสนุนอดีตนายกฯนั้นคงมีอยู่แน่ๆ แต่เชื่อว่ากลุ่มดังกล่าวมักจะอยู่นอกศูนย์กลางดังนั้นแล้วจึงค่อนข้างจะเป็นชายขอบพอสมควร ทำให้ขาดพลังในแง่ต่างๆ ที่จะแสดงถึงจุดยืนของตนเอง) อีกทั้งสังคมไทยเป็นสังคมที่ง่ายต่อการสยบให้กับอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากอำนาจนั้นผ่านกระบวนการให้ดูมีความศักดิ์สิทธิ์เท่าไหร่ พี่ไทยเราก็ยิ่งสยบต่อมันได้ง่ายเท่านั้น ผลสรุปจึงเห็นเป็นภาพที่เราพบเจอตามสื่ออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ประเด็นที่สองออกจะเป็นการมองโลกในแง่ร้ายเสียหน่อย นั่นก็คือสังคมไทยเป็นสังคมที่ไม่ค่อยเรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์เสียเท่าไหร่ พูดง่ายๆ ก็คือเราไม่รู้จักเข็ดว่างั้น ภาพที่ออกมานอกจากจะแสดงภาพลักษณ์ความเป็นสยามเมืองยิ้มอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว ยังแสดงถึงความไม่ยินดียินร้ายต่อการกระทำนอกรัฐธรรมนูญ ใครจะมาก็ให้เค้ามาเถิด ปฏิวัติแล้วนิ ทักษิณไปแล้วนิ คงไม่เป็นไรหรอกมั๊ง ใช้ชีวิตแบบชิวชิวได้เลย เย้
สำหรับคิดว่าเมื่อเหตุการณ์มันเกิดขึ้นแล้ว เราคงไม่สามารถจะปล่อยให้มันแล้วไปเฉยๆได้ และผมไม่เห็นด้วยกับการที่คณะปฏิรูปฯ ออกประกาศห้ามเคลื่อนไหวทางการเมือง ผมคิดว่าการเคลื่อนไหวทางการเมืองสำหรับกลุ่มการเมืองใดๆ เป็นสิ่งที่ควรจะทำเนินต่อไป และคณะปฎิรูปฯ ก็ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะตอบโต้ด้วยความรุนแรง ภาพที่ผมอยากเห็นก็คือการนำกลุ่มการเคลื่อนไหวต่างๆ เข้ามาคุยกันอย่างเปิดอก ตรงไปตรงมา เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน การที่ประกาศว่าให้ดำรงกลุ่มการเมืองไว้แต่ไม่มีการให้เคลื่อนไหวเนี่ยผมว่าฟังยังไงก็ไม่ขึ้น
ส่วนเรื่องกลุ่มทุนใหม่ไปกลุ่มทุนเก่ามา ตรงนี้ผมไม่ขอวิเคราะห์ต่อ เพราะต้องพูดอย่างละอายเลยว่าเป็นคนติดตามการเมืองน้อย จึงไม่อยากออกความเห็นในประเด็นนี้นัก แต่เห็นด้วยกับคุณ เมฆาเลยว่าการที่อดีตนายกไปแล้วใช่ว่าปัญหาทุกอย่างจะหายแว้บไป ปัญหาที่เราเผชิญมันใหญ่กว่านั้นมากนัก มากกว่าการที่จะไล่คนๆเดียว (หรือทั้งกลุ่ม) ออกไปแล้วจะแก้ไขปัญหาได้หมด
และอยากจะฝากถึงป้าๆ ทั้งหลายว่าอย่าพึ่งเห่อทหารกันเกินไปนัก วันไหนอารมณ์แปรปรวนขึ้นมาแล้วขี้คร้านจะหอบลิโพหนีไม่ทัน (อันนี้แซวเล่นนะครับ อิอิ) โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าท้ายที่สุดถ้าคณะปฏิรูปยอมทำตามที่ได้ประกาศเอาไว้ตั้งแต่ตอนแรก บ้านเมืองคงจะไปสู่ความสงบโดยเร็ว ผมเองไม่หวังอะไรมากนอกจากเห็นบ้านเมืองสงบ ผู้คนอยู่เป็นสุข มีรอยยิ้มกันถ้วนหน้า (โดยที่ไม่ได้ยิ้มถ่ายรูปคู่กับรถถังนะ เสียวหวะ)