พอตื่นเช้าขึ้นมา (จริงก็ไม่เช้าหรอก 11 โมงเข้าไปแล้ว แหะๆ) ยังไม่ทันจะล้างขี้ตาแปรงฟันเลย ท่านแม่ก็รีบปราดเข้ามาแจ้งข่าวก่อนเลยว่า
“นี่ๆ น้าติ่งลงหนังสือพิมด้วยนะ ไปอ่านสิ”
“!!??@#”
“พอดีวันนี้ซื้อเดลินิวส์มา เนี่ยได้ลงเต็มหน้าเลย”
“#@!!??”
เจอแบบนี้มันก็ งง อึ้ง ทึ่ง มึน อะดิ ตื่นมายังไม่ทันทำหอกอะไรเลย มาเจอข่าวมึนๆอีก เล่นทำขี้ตาระเหิดเลย เอาวะ!! ไม่ล้งไม่ล้างขี้ตาแม่งแล้ว พลิกหนังสือพิมพ์ดูก่อนเลยดีกว่า เปิดไปจนถึงหน้าสิ่งแวดล้อม เออแฮะ เจอเต็มๆเลย แถมมีลงรูปด้วย โอววว.....ตื่นเต้นจังเว้ย
ว่าแล้วเรามาอ่านไปพร้อมๆกันเลยดีมั๊ยครับ
ที่นี่คือห้องเรียนอีกห้องหนึ่งของเด็ก ๆ โรงเรียนบ้านป่าถ่อน เด็ก ๆ เล่าว่า คาบเรียนของเด็ก ๆ ในไร่ลุงคำวัน นั้น เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับอันตรายของยาฆ่าแมลงและสารเคมีต่างๆในกระบวนการปลูกพืช
ห่างออกไปเพียงไม่กี่ร้อยเมตร จากปากทางเข้าไร่ ห้องเรียนห้องที่สองของเด็ก ๆ เป็นที่ตั้งของโรงเรียนบ้านป่าถ่อน 1 ใน 12 โรงเรียนที่สอนและสอดแทรกหลักสูตรระบบนิเวศวิทยาแก่นักเรียนทุกระดับชั้น ตั้งแต่ ป.1-ป.6 ไล่เรียงตั้งแต่ความรู้ขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับระบบนิเวศไปจนถึงปัญหาการใช้สารเคมีทางการเกษตร ในระดับชั้น ป.4 เป็นต้นไป ที่ อ.พรพรรณ นามรัตน์ หรือ ครูติ่ง ที่ปรึกษาและครูใจดีของเด็ก ๆ ที่นี้ สอดแทรกเรื่องระบบนิเวศเข้าไปเป็นหลักสูตรการเรียนของท้องถิ่น 30 % ตามสัดส่วน
ครูติ่งบอกว่า เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ระบบนิเวศจากนาข้าวและแปลงผักในโรงเรียนด้วยตัวเอง เด็กคนไหนใคร่รู้เรื่องแมลงก็ออกไปเสาะหา สำรวจ สังเกต พฤติกรรมด้วยตัวเอง จากนั้นเรียบเรียงเป็นใบงานหรือเรียงความ ก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนภาษาไทยไป หรือจะเป็นเรื่องอื่น ๆ ในระบบนิเวศรอบตัว การเรียนลักษณะนี้คือการเรียนจากธรรมชาติของจริงนอกห้องเรียน แล้วนำมาบูรณาการเชื่อมโยงเข้ากับการเรียนรู้ร่วมกันกับวิชาอื่น ๆ ได้ทุกวิชา อย่าง ภาษาอังกฤษ ในส่วนของคำศัพท์ต่าง ๆ, สปช. เรื่องของการดำรงชีวิตที่แวดล้อม, กพอ. การปฏิบัติลงมือทำเกษตร, วิทยาศาสตร์ ได้ในเรื่องสารเคมี กับความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตและองค์ประกอบอื่น ๆ ในระบบนิเวศ กระทั่งคณิตศาสตร์ ก็มีส่วนในเรื่องของการคำนวณสูตรปุ๋ยและพัฒนาการของผักได้ เหล่านี้เป็นต้น
เสียงเจื้อยแจ้วเป็นภาษาคำเมืองของเด็กชายเสม ที่นำเสนอลุงคำด้วยประโยคที่ฉะฉาน “ลุงคำครับ วันนี้ผมมีการบ้านมาส่ง” เป็นสมุดวาดเขียนหน้าใหญ่ เล่าเรื่องราวการใช้สารเคมีที่มีแต่จะส่งผลร้าย อย่างที่ลุงคำเคยประสบ มาแล้ว เป็นวิธีการแลกเปลี่ยนความรู้ของลุงคำกับเด็ก ๆ วิธีหนึ่ง
นับเป็นการผ่องถ่ายจิตสำนึกเรื่องระบบนิเวศในธรรมชาติรอบห้องเรียนที่ไม่ได้มีแค่ในตำรา แต่ต้องขวนขวายออกไปหาเรียนจากของจริง ๆ ข้างนอกห้อง เช่น ไร่ลุงคำ ซึ่งถือเป็นแหล่งความรู้ขุมใหญ่ที่น้อง ๆ ก็ได้รู้ได้เห็นและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเกษตรกรได้ด้วยตัวเอง
เหล่านี้เกิดจากการเห็นความสำคัญของอันตรายในสารเคมี ซึ่งมูลนิธิการศึกษาไทยได้ริเริ่มโครงการระบบนิเวศฯในโรงเรียน และยื่นมือเข้ามาในเรื่องของการจัดกิจกรรมและกระบวนการเรียนรู้ โดยได้รับการสนับสนุนจากโครงการ IPM DANIDA กรมวิชาการเกษตร ประโยชน์ที่ได้มากน้อยแค่ไหนนั้น เด็ก ๆ บอกว่า พวกเขาจะนำกลับไปใช้ที่บ้าน ไปบอกพ่อแม่พี่น้อง และชุมชนคนรอบข้างว่า สารเคมีในยาฆ่าแมลงที่พวกเขาเรียนและรู้ด้วยตัวเองมานั้น เป็นอันตรายต่อชีวิตในระยะยาวมากขนาดไหน นอกเหนือไปจากความสุขที่ได้รับจากการมาเล่าเรียนในแต่ละวันแล้ว สำนึกรักในคุณอนันต์ของธรรมชาติและโทษของสารเคมียังถูกถ่ายทอดลงในสามัญสำนึกของเด็ก ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไปอีกด้วยให้การผ่องถ่ายจิตใต้สำนึกเรื่องการทำลายสิ่งแวดล้อมจากสารเคมีใน ยาฆ่าแมลงแก่เด็ก ๆ เสมือนการปลูกฝังจากรากลึกสู่ยอดไม้ใหญ่ที่ยั่งยืนและคงทนในอนาคตข้างหน้า.
เขียนโดย เนาวรัตว์ ทองหว่าง ที่มา : หนังสือพิมเดลินิวส์ ฉบับวันที่ 8 ม.ค.2549
------------------------------------------------------------
อ่านแล้วได้คิดเหมือนกันแฮะ.........
ผมว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญนะ การศึกษาที่ดีมันก็ส่วนสำคัญมากเลยทีเดียวที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของผู้คนดีขึ้น และแน่นอน เมื่อผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีในหลายๆด้าน ปัญหาสังคมอะไรที่ตามมาต่างมันก็คงจะเบาบางลง
แล้วไอ้การศึกษาที่ดี ที่ว่ามาเนี่ย มันเป็นแบบไหนหละ??
ถ้าถามผม ด้วยปัญญาและรอยหยักอันน้อยนิด อีกทั้งความรู้เรื่องเกี่ยวกับการศึกษานี่ก็แทบจะไม่มีเลย คงจะยากหาคำตอบอะไรที่เบ็ดเสร็จได้ แต่อย่างน้อยที่สุดผมเชื่อว่า สิ่งที่น้าติ่งทำอยู่เนี่ยแหละถือว่าเป็นหนึ่งในการศึกษา “ที่ดี”
ผมเชื่อว่าการศึกษาที่ดีไม่จำเป็นต้องมีรูปแบบเดียว ไม่ต้องเริ่ดหรู อลังการ บานตะเกียง อะไรมากมาย แต่การศึกษาที่ดีมันน่าจะเป็นการที่ตัวหลักสูตรและวิธีการสอนมีความยืดหยุ่น (flexible)สามารถปรับเปลี่ยนแปรผันให้สอดคล้องไปตามสภาพของท้องถิ่น ผู้คน สังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน
ดั่งการสอนของน้าติ่ง อารมณ์การเรียนการสอนนี่ชิวมาก ประมาณว่าใช้ไร่ทุ่งเป็นห้องเรียน หญ้าใบ สัตว์เล็กใหญ่แทนหนังสือ ผมว่ามันคงจะน่าตื่นเต้นดีนะ คงสนุกกว่าให้ไปนั่งท่องตำราเยอะ
ที่ว่ามาไม่ได้บอกว่าตำราไม่ดีนะครับ แต่ในเมื่อบางแห่งบางท้องถิ่นเรามีธรรมชาติเป็นครูแล้ว ก็ให้ธรรมชาติสอนไปเลยไม่ดีกว่าหรือ ผมเชื่อนะครับว่ายังไงตำรามันก็ไม่ใช่ของจริง มันเป็นได้อย่างมากก็คือแค่สิ่งที่เป็นภาพสะท้อนของความจริง(representation)เท่านั้น ดูตัวอย่างผมก็ได้ครับ ผมเองก็รู้เรื่องเกี่ยวกับระบบนิเวศน์หรือธรรมชาติอะไรเนี่ยน้อยมาก เพราะก็เติบโตและร่ำเรียนมาแต่ในเมืองอย่างเดียว จะรู้หรือจะเห็นอย่างมากก็แค่ในตำราเรียน เชื่อเหอะว่า ถ้าไปเดินลุยทุ่งดุ่ยๆกับน้องๆ ผมต้องเป็นฝ่ายคอยถามน้องเค้าแน่ๆว่า นั่นอะไร โน่นอะไร นี่อะไร แหงแซะ
อ้าว แบบนี้ก็ไม่ต้องเรียนหนังสือกันอะดิ??
มันก็ไม่ใช่ขนาดนั้นครับ ผมว่านะ นอกจากการศึกษาที่ดีมันจะต้องมีความยืดหยุ่นปรับให้รับกับท้องถิ่นได้ มันก็ต้องมีความยืดหยุ่นในแง่ของการสอดประสานความเป็นศูนย์กลาง ที่เปรียบเสมือนเป็น”เรื่องเล่าหลัก” (grand narrative) ของสังคม ผนวกเข้าไปกับ “เรื่องเล่าเล็กๆ” (little narrative) ของท้องถิ่นนั้นๆ ผมเชื่อนะว่าการสอดประสานกันของสองสิ่งนี้มันน่าจะนำไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น
เช่นกรณีที่ของน้าติ่งจะเห็นได้ว่ามีการสอดประสานสองสิ่งนี้เข้าไว้ด้วยกัน เด็กเรียนรู้สิ่งต่างๆจากมาตุภูมิของตน ในขณะเดียวกันพวกเขาก็สามารถที่จะเรียนรู้และเชื่อมโยงความรู้ท้องถิ่นเหล่านั้นเข้ากับการศึกษาในแบบแผนได้ด้วย
มันคงจะไม่ดีนักถ้าการศึกษาของเราเป็นอารมณ์ที่ประมาณว่ายัดเยียดสิ่งต่างๆนานาให้เด็กโดยที่มองข้าม ละเลยมิติที่สำคัญๆไป การศึกษาแทนที่จะเป็นสิ่งที่ดี กลับไปทำให้เด็กตัดขาดจากท้องถิ่นและชุมชนเองตัวเองซะงั้น
เลยอยากจะสรุปง่ายๆนะว่า สุดท้ายแล้วมันไม่มีอะไรสำคัญกว่ากันหรอกครับ ทั้งสองสิ่งล้วนสำคัญต่อการศึกษาทั้งสิ้น ดังนั้นแล้วเราไม่จำเป็นต้องเลือกแบบอภิมหาสุดโต่ง หรือสุดขั้วแสนแสบไปในด้านใดด้านหนึ่งแต่อย่างใด แต่เราสามารถเลือกที่จะทำให้สองสิ่งพริ้วไหวไปด้วยกันได้ สร้างสรรค์หนทางที่สดใส สวยงาม ซาบซ่า (ฮ่าๆ)
-------------------------------------------------------
จริงๆแล้วผมก็รู้จักมักคุ้นกับน้าติ่งมาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะครับ ด้วยที่เค้าเป็นเพื่อนสนิทสนมกับแม่ผม แต่ผมรู้เกี่ยวกับตัวน้าติ่งไม่ครบแฮะ รู้ว่าน้าติ่งเป็นครูที่เชียงราย รู้ว่าน้าติ่งทำกับข้าวเก่งมาก (เพราะน้าเค้ามาบ้านผมทีไร ได้กินฝีมือเค้าทุกงานไป) รู้ว่าน้าติ่งได้รับคัดเลือกให้เป็นครูต้นแบบเมื่อปี เอ่อ.....จำไม่ได้ เหอ เหอ และที่สำคัญ รู้ว่าลูกสาวน้าติ่งน่ารักมาก (ฮ่าๆ)
แต่สำหรับสิ่งที่เค้าทำอยู่ ก็พึ่งมารู้เอาวันนี้แหละครับ จะไปโทษใครได้เนอะ เค้าเทียวไปเทียวมาตั้งหลายทีดันไม่เคยที่จะคุยเรื่องนี้กันเล้ย....ถ้ามาครั้งหน้าคงไม่พลาดที่จะคุยในประเด็นนี้แน่นอน
อ้อเกือบลืม ตะกี้ลอง search ใน google ใส่ชื่อน้าติ่งลงไปก็มีโผล่ขึ้นมาเหมือนกันแฮะ แต่ผมคิดว่าอันนี้น่าสนใจดี ว่างๆก็ลองไปอ่านกันดูนะครับ
จะตีสองแล้วแฮะ ชักง่วง เอาเป็นว่าใครมีอะไรจะฝากผมคุยกับน้าติ่งบอกมาได้เลยนะคร้าบ ไม่คิดค่าบริการแต่อย่างใด เหอ เหอ
-----------------------------------
ภาคผนวก
ครูต้นแบบคืออะไร??
ครูต้นแบบคือครูที่ได้รับการประเมินจากคณะกรรมการที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติแต่งตั้งขึ้นว่ามีการจัดกระบวนการเรียนรู้หรือกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญได้จริงตามพรบ.การศึกษา
ครูที่ผ่านการประเมินเรียกว่าครูต้นแบบ มีหน้าที่ต้องขยายเครือข่ายของตนที่เปิดรับสมัครจากครูในระดับเดียวกัน มาร่วมโครงการพัฒนารูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้ในลักษณะกัลยาณมิตรนิเทศ โดยเริ่มตั้งแต่เขียนแผนการสอน สื่ออุปกรณ์ รูปแบบหรือวิธีสอนที่เป็นของตนเอง ให้กับครูเครือข่าย และดำเนินงานวิจัยควบคู่ไปด้วย
ครูเครือข่ายคือครูที่สมัครเข้าเป็นเครือข่ายของครูต้นแบบเพื่อร่วมกันปฏิรูปการจัดกระบวนการการเรียนรู้ของตนเองตามพรบ.แห่งชาติ ตามรูปแบบของครูต้นแบบและประยุกต์เป็นของตนเองในที่สุด
23 comments:
เขียนได้ดีมาก พยายามรักาสิ่งดีๆเอาไว้นะ
บางทีครูอาจจะต้องการสอนให้รู้จักประยุกต์เข้ากับชีวิตประจำวันนะ แต่เป็นไปได้ว่าเด็จส่วนใหญ่(ในเมือง)ต้องการแค่เอาไปสอบให้ได้คะแนนเยอะๆ...ก็เลย...อืม...เซ็งว่ะ
อืม เป็นเรื่องที่ดีจริงๆ ตอนแรกกูรีบอ่านไปหน่อยนึงว่าเป็นน้าติง ที่พากย์มวยปล้ำ พอกูลงมาอ่าน ก็งงเป็นไก่ตาแตกเลย ก็กลับขึ้นไปอ่านใหม่ถึงจะรู้ว่าคือน้าติ่งนั่นเอง อ่านแล้วพูดไปก็อยากไปเที่ยวเหนือน่ะ อากาศเย็นๆ นั่งซดเบียร์เย็นๆ คุยกับเพื่อนๆ อะไรมันจะมีความสุขปานนั้นว่ะ กูอ่านใกล้จบ ก็เห็นลายมึงออกเลยน่ะ คุณนรชิต จิรสัทธรรม ว่าลูกสาวน้าเค้าสวยหนิ 55 เดี๋ยวมีคุยกันนอกจอ กูก็ไม่มีไรเม้นเท่าไหร่น่ะเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน กูชอบเก็บไว้คนเดียวมากกว่า ว่าได้อะไรกลับมา ก็เข้ามาทักมึงเฉยๆ นี่มึงก็รู้กูเป็นคนขี้เกียจขนาดไหน แต่ที่มานั่งพิมพ์ให้มันยาวเหยียดเนี่ย กูก็งงว่าทำได้งัย(สำหรับกูน่ะ) ให้กูทำบล๊อกอย่างมึง ปีนึงคงเสร็จเรื่องนึงมั้ง อ่านของคนอื่นดีกว่าเป็นไหนๆ เดี๋ยวจะเข้ามาอ่านใหม่ตอนใหม่ เข้ามาพิมพ์หามึงเนี่ย เดี๋ยววันนี้พรุ่งนี้แม่งก็เจอกันและ แล้วที่กูมาเม้นเนี่ยมึงรู้ป่ะเนี่ยใคร555 ให้กูเข้ามามึงก็มาตอบกูด้วยน่ะ เดี๋ยวจะเข้ามาอ่าน
เป็นการประเดิม comment ที่แปลกใหม่ไฉไลดีแท้ เพราะเต็มไปด้วยมิตรกูทั้งนั้น
ขอบใจมากนะที่พวกมึงเข้ามาอ่านกัน (ไม่อ่านได้ไงวะ พอ up เสร็จปุ๊บ ก็ยัด url ให้พวกแม่งเลย 555)
ไอ้เนท (หรือที่มีสมัญญานามว่า "ไอ้ขี้")มึงมาคนแรกเลยหวะ โคตรแปลกใจ
ส่วนคนที่สอง ขอแนะนำหน่อย คนนี้แหละครับที่ผมรีดไถบทความแม่งมาลงตอนที่แล้ว ไม่ต้องห่วง มึงเขียนอีกเมื่อไหร่กูก็จะเอามาลงอีก เหอ เหอ
ส่วนไอ้คนที่สามไม่ต้องมาพร่ำรจนามากความเลยนะไอ้คุณคณิติน ศิราแร่ ความขี้เกียจของมึงนั้นกูรู้ลึกถึงทรวงในอยู่ พักนี้อากาศเริ่มหนาวเย็น หวังว่ามึงคงอาบน้ำชำระร่างกายบ้างนะ ถึงอากาศจะหนาวแต่แบคทีเรียมันไม่ปราณีมึงนะเว้ย
แต่ที่พูดมาก็ถูกนะ อากาศแบบนี้น่าโดนเบียร์จริงๆ เอาไว้หลังวันพฤหัสได้ป่าววะ ตอนนี้กะจะเคลียร์งานตรงนี้ให้เสร็จไปอีกส่วนนึงก่อนอะ
ส่วนจะคุยอะไรกะกูนอกจอนั้น เชิญตามสบาย
ครู จริงๆ ปัจจุบันมีน้อยมาก หรือเพราะผมมองไม่ค่อยเห็นก็ไม่รู้
อยู่ในวงการครู มีแต่มนุษย์ใส่โขนให้คนอื่นกราบไหว้ บางคนด่าเด็กว่าโง่เป็นควาย แล้วเขาจะจ้างท่านมาทำไมละครับ คุณก็ต้องทำให้เขาฉลาดขึ้น มีปัญญาขึ้นสิครับ กรณีนี้ตกลง นักเรียนโง่หรือครูควายกันแน่
ครูที่แท้ ผมว่า ต้องเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้อย่างแท้จริง หน้าที่มีเพียงปูหลักการ ชี้ทาง และสร้างพลังให้กับลูกศิษย์ไปพัฒนาตนเอาเอง การสอนทำให้เรามีโอกาสได้พัฒนาตนไปด้วย กรณีนี้ ครูกับกลายเป็นลูกศิษย์ ลูกศิษย์ก็กลายเป็นครูได้
เนื้อหาในความเป็นครู คือ การสร้างความคิดพื้นฐาน ชี้ทาง สร้างพลังแห่งการตระหนักรู้
เนื้อหาในความเป็นศิษย์ คือ การเรียนรู้มิรู้หน่ายเพื่อพัฒนาตนไปสู่ความบริสุทธิ์ทางปัญญาขอรับ
ผมมีอาชีพเป็น "อาจารย์" แต่รักการเป็น "ลูกศิษย์" มากกว่าครับ อิ อิ
การเรียน ผมว่าที่ไหนไหนก็เรียนได้ และมีความสำคัญเท่าๆ กันหมดแหละครับ
เรียนจากหนังสือ ... หรือเรียนจากชีวิต
ต่างก็ให้แง่คิดและความเข้าใจที่แตกต่าง
แต่ถ้าสอดประสานเข้ากันให้ได้ จะเกิดผลที่ดียิ่งขึ้นครับ
เพิ่งรู้นะครับเนี้ย ว่าคุณ GELGLOOG มีเครือข่ายเป็นถึงครูต้นแบบ ชนิดที่สนิทสนนกลมเกลียว กินข้าวหม้อเดียวกันเลย (ฮา)
ฝากความระลึกถึงให้น้าติ่งด้วยนะครับ
ขอบคุณคุณครูของเด็กๆ ครับ
ปล. ผมชอบคำว่า "ครู" มากกว่า "อาจารย์" แม้ความหมายจะเหมือนกัน แต่ผมว่า "ครู" ดูศักดิ์สิทธิ์และใกล้ชิดกับเรามากกว่า มีดร. คนหนึ่งที่จุฬา เวลาสอนผมแทนตัวเองว่าครูตลอด ผมชอบ ดร.พักตร์ผจง คนนี้มากเลยครับ คุณ GELGLOOG รู้จักหรือเปล่าครับ
แล้วทำอย่างไรเราถึงจะผสมผสานการเรียนการสอน ทั้ง 2 แบบได้ดี(ตำราในหนังสือ และ ตำรานอกห้องเรียน)
เห็นอยากปฏิรูปการศึกษานักหนา ลึกๆเชื่อว่าทำออกมาก็ไม่พ้นจากปัจจุบันเท่าไร
พวกเราๆที่ได้เรียนสูงๆ คิดอย่างไรครับ ว่าจะทำอย่างไรกับการศึกษาไทย
หายไปหลายเพลา comment update ขึ้นโขเลย
ผมโคตรเห็นด้วยกับคุณ crazy cloud เลยนะ หน้าที่ครูคือการที่ทำให้เด็กจากที่ "ไม่รู้" กลายเป็น "รู้" คือถ้าเค้ารู้เค้าฉลาดอยู่แล้วจะมาเรียนหนังสือหนังหาทำซากอะไรวะ
เพราะผมเองก็เคยมีความรู้สึกประมาณนี้เหมือนกันตอนสมัยเรียนมัธยม โดนด่าว่า "โง่" บ้าง "ไม่ได้เรื่อง" บ้าง แม่งเอ้ย ช่างบั่นทอนกำลังใจกูดีแท้ๆ ในใจก็นึกบ่นถ้ากูรู้ กูก็ไม่เรียนกะแม่งแล้วหละ ก็กูไม่รู้ดิวะเนี่ยถึงมาเรียน อยู่ๆมึงจะให้กูตรัสรู้เลยรึไงวะ
แต่นั่นก็เป็นเพียงหนึ่งในความทรงจำที่ไม่ดีนัก แต่ก็ยังมีครูอีกหลายๆท่านที่พร่ำสอนผม โดยเฉพาะท่านหนึ่ง ขอเอ่ยชื่อเลยละกัน อ.ยุพิน แห่งสำนักบะหมี่เป็ด (เพราะอ.แกใช้ตึกแถวของน้องแกที่เปิดร้านบิหมี่เป็ดสอน อิอิ) แม้ว่า perfomance ผมจะห่วยบรมโคตรซักปานใด ก็ยังพร่ำสอนอยู่มิรู้หน่าย แม้ว่าผลสุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถทำให้ผมบรรลุวัตถุประสงค์ของการเรียนได้ แต่ผมก็ประทับใจว่าอย่างน้อยที่สุดก็ยังมี "ครู" ที่คอยอยู่ข้างเราและช่วยเหลือเรา มี "ครู" ที่ไม่ได้ตัดสินใจเด็กจากเพียงแค่ performance แต่เพียงอย่างเดียว เป็น "ครู" ที่ไม่เลือกปฏิบัติต่อศิษย์ตั้งแต่เด็กหัวกะทิยันเด็กขาดเขลาเบาปัญญาเช่นผม
แม้ว่าทุกวันคณิตศาสตร์ผมยังอ่อนแอเช่นเดิม แต่สิ่งที่ผมได้มาก็คือทำให้ได้รู้ว่า ครูและอาจารย์ต้องมีหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ให้กับศิษย์ด้วยจิตใจบริสุทธิ์ และนอกจากวิชาความรู้แล้วครูจะต้องมีหน้าที่สร้างและเติมเต็มจิตวิญญาณที่ดีให้กับศิษย์ด้วย
คุณริว การศึกษาเป็นสิ่งที่ดีนะครับ ไม่ว่าจะนอกหรือในระบบ บางครั้งผมยังคิดว่าผมอยู่ในระบบเกินไปจนดู "โง่" ไปเลยเสียด้วยซ้ำ โลกนี้มันยังมีภูมิปัญญาอีกมากมายหลายหลาก ที่ผมมีอยู่มันก็เปรียบดั่งหิ่งห้อยน้อยกับแสงอาทิตย์เท่านั้นเอง เหอ เหอ
เอ่อ ผมไม่เคยได้ยินชื่ออาจารย์ที่คุณกล่าวมาเลยครับ ไม่ทราบว่าอยู่คณะใดฤา
ไอ้คัสน้องข้า คำถามของมึงนี่กูใคร่ชี้แจงแล้วว่าโคตรเป็นสิ่งทีเกินปัญญากูอย่างมากนัก แต่กูยินดีที่จะคุยเรื่องนี้กับมึงแน่นอน เอาไว้เราตั้งวงสนทนากันแล้วมึงก็อย่าลืมเสียที่จะชักนำกูเข้าสู่ประเด็นนี้นะ (เพราะกูชอบนอกเรื่อง 555)
ทีจริงเรื่องการเรียนไม่ค่อยอยากจะ....
คราวนี้แปลกดี..
อีกอย่างนะเรื่องเขียนบล็อก..แปลกกว่าทุกครี้งวันนี้คิดไม่ออกขอโทษทีค่ะ...โอยไม่สิ...
วันหลังมาเม้นให้อีกทีนะคะตอนนี้แบบว่า..
แล้วเจอกัน
เป็นอะไรมากรึป่าวเนี่ยน้องนุ่น??
จะบอกคราวนี้เขียนแปลกๆรึ อืม...นั่นหนะดิพักนี้ก็เริ่มคิดว่าตัวเองเขียนเปลี่ยนไปเหมือนกันแฮะ ไปนั่งย้อนอ่านตอนหลัง ยิ่งรู้เลยว่า มันเปลี่ยนๆ แปร่งๆ ทะแม่งๆ ยังไงชอบกล 555
เออ...แฮะ น่าคิดจริงๆ!!!
ในด้านของทรัพยามนุษย์นับว่าช่างน่าดีใจกับลูกศิษย์ ของท่านนะ..มีครูดีๆแบบนี้หายากนะขนาดเรียนมาจะจบนี่ก็หาได้น้อยมากน่าอิจฉาออกนะ...ได้รู้จักแม่พิมของชาติดีๆ
ไม่เป็นไรหรอก+555ดูดีๆนะก็คุ้มค่าในการใช่อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดเหมือนกันไม่ต้องงหรอกเพราะเข้าใจเอง
นับถือพี่บอยจริงๆ
เบลล์หล่ะอับอาย
blog นี้มีสาระมากมาก
อ่านแล้วทึ่งในความคิด
*ดีใจนะคะที่ได้รู้จักกัน*
กูได้อ่านก็ไม่รู้ว่าcommentยังงัย มันเหมือนๆกับว่าที่มึงพิมออกมาเนี้ย กูเหมือนเคยได้ยินมึงบ่นมาแล้ว ก็เข้ามาทักกันหน่อยจะได้รู้ว่ากูอ่านจิง ไม่ใช่เข้าแต่เว็บโป๊ พรุ่งนี้ก็ไม่ตีแบตนะ ขี้เกียจ ชวนไอโชคไปละกัน
นับถือจริงๆเลยค่ะ
วันวันเบลล์ไม่เคยนั่งคิดเรื่องแบบนี้เลย
อับอาย ไดเบลล์มีแต่เรื่องไร้สาระ
อึ้ง ทึ่ง จริงๆ พ่อนักวิชาการ
ไปไหนมา?
กลับ ตี 3
:D
** ดีใจที่ได้รู้จักกันนะคะ **
งื่อ
มีโผล่เพิ่มมาอีกหน่อยแฮะ
ขอบคุณมากเน้อที่มาอ่านกัน
ไอ้คนบ้ากล้าม กูรู้ที่มึงไม่ตีแบดเพราะมึงจะไปฟิตกล้ามเล่นฟิตเนสอ่ะดิ โคตรบ้าพลังเลย
น้องเบล จริงๆแล้วกระผมไม่ได้มีสาระขั้นนั้นหรอกนะคร้าบ 5555 แต่ก็ขอขอบใจที่ติดตามกัน
ดีครับพี่
จะมีงานบอลแล้ว ป.โทอดขึ้นแสตนด์แน่ 5 5
ป.ล.เซงเหมือนกาน ผมก็ว่าสนธิทำเกินไป
เรื่องที่พูดก็จริงบ้างไม่จริงบ้าง
แล้วก็ที่สำคัญ ตัวเองเอาคนไปทำเนียบ แต่พอเค้าเริ่มหือเข้าไป สนธิกลับ แว๊บ 5 5 5 ขำจังเลย
น้อง เอ่อ หวังว่าคงอ่านว่าอุ๊นะ
หวัดดีน้องดีใจที่แวะมาเยี่ยมกาน
เรื่องงานบอลอะไรนั่นก็นะ เอาตรงๆ(อย่าเคืองพี่เลยนะ) พี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยอะ 555 อาจจะเป็นเพราะว่าไม่ใช่เด็กเก่าที่นั่นมั๊ง มันเลยไม่อิน เหอ เหอ
เอ้อ อีกเรื่อง พี่คิดว่าครานี้น่าจะได้ฤกษ์งามยามดี ยังไงก็ขอแอด blog น้องเอาไว้เลยละกันนะ
โชคดีน้อง
แหวกไหว้เวิ้งฟ้า มาสวัสดี
ตกลงชื่อท่านออกเสียงเป็นไทยมาจะได
ชี้แจง ชี้แจง
คุณครูครับ ...สมมุติว่า ผมมาทักทาย คุณครู "บอย" จะว่าไม๊ครับ .....
ปล. อยากให้อาชีพครู มีเงินเดือน มีสวัสดิการ ดี ๆ เพื่อจูงใจให้คนเก่ง คนดี มาเป็นครูมากขึ้นนะครับ
สวัสดี(อย่างมีสติ)ครับคุณ gelgloog (แก้แล้ว หุหุ)
มากล่าวคำทักทายกับหนึ่งในคลื่นคุรุตะวันออกที่จะซัดสาดประเทศไทย ให้เปียกชุ่ม เรี่ยราด เปรอะเปื้อน เปียกปอน ในยามที่ประเทศอยู่ในยุคฤดูร้อนทางอารมณ์และปัญญา
ว่าแต่ว่า ชื่อนี้ท่านได้แต่ใดมา
เห็นด้วยกับพี่พลนะ
เมื่อสังคมมันมาถึงขั้นนี้แล้วเราคงหลีกหนีความจริงที่ว่า "ผลทางด้านเศรษฐ" ก็เป็นหนึ่งในแรงจูงใจที่สำคัญมากนะ ที่จะให้คนเลือกประกอบอาชีพหรือตัดสินใจที่จะทำอะไรต่างๆนานา
แต่บ้านเราก็เป็นอย่างที่ท่านว่าแหละนะ อาชีพครูเป็นอาชีพที่แม้จะ "มีเกียรติ" แต่มีแนวโน้มที่จะ "กินแกลบ" สูงเช่นกัน แรงจูงใจทางด้านเศรษฐกิจในบ้านเมืองเราที่มีต่ออาจารย์คงน้อยไปนะ
จริงๆมีอีกโคตรหลายเรื่องเลยนะที่อยากเขียนเกี่ยวกับเรื่องครูบาอาจารย์เนี่ย เขียนไปเขียนมาก็เริ่มนึกถึงอาจารย์ที่ มศว ท่านนึงที่ผมเคารพนับถือ นิยมชมชอบมาก แต่ทว่าท่านก็เสียไปหลายปีแล้วเหมือนกัน คิดแล้วก็เศร้าแฮะ
ส่วนจะเรียกผมว่าอะไรก็ตามสะดวกเลยนะพี่ จะนอหรือจะบอยหรือจะใส่ชื่อจริงนามสกุลเต็มก็ได้555
ท่าน Soulseeker
ยินดีต้อนรับนะท่าน สำหรับชื่อข้าน้อยนั้น มันมีที่มาว่าสมัยเมื่อยังเยาว์ข้าน้อยชอบต่อหุ่นกันดั้มมาก (แม้นว่าจะไม่ค่อยรู้เรื่องเนื้อหากันดั้มเสียเท่าไหร่)และตัวหนึ่งที่ชอบมากก็คือไอ้ตัวที่ชื่อว่า "Gelgoog" แต่เพื่อความแหวกและสร้างความพริ้วไหวให้คำบ้าง ข้าน้อยเลยจัดแจงใส่เสียงควบกล้ำเข้าไปซะ ให้กลายเป็น "Gelgloog" เหอ เหอ
เรื่องราวก็เอวังด้วยประการฉะนี้......
แก้ชื่อ และข้อตกลงต่างๆแล้ว
ในเวบ
อาจจะยังไม่สมบูรณ์ดี
พี่ลองไปอ่านดูอีกทีก็ได้
ก็ทำไว้เพื่อ
แสดงความคิดเห็นทางเศรษฐศาสตร์ การเมือง สังคม และสิ่งแวดล้อมครับ
ที่จุฬาฯ คงยังไม่เรียนสาขานี้จนกว่า
จะมีงาน แลอาชีพที่มั่นคง
คนเราจะทำอะไรมันต้องมีทุน ใช่ไหมล่ะพี่
แต่ระหว่างนั้นก็จะหาความรู้เอง
อ้อ. . .ตอนนี้อยู่ปี 1ครับ
Post a Comment