Thursday, December 22, 2005

“ยิ่งจดก็...ยิ่งเก็บ” จริงหรือ?

เนื่องจากอากาศอันหนาวเหน็บทำให้ผมเสื่อมสมรรถภาพในการเขียนชั่วคราว แต่ก็ไม่อยากจะให้ blog มันดูเงียบเหงาเศร้าสร้อยจนเกินไป เดี๋ยวบรรดามิตรรักแฟนเพลงจะคอยกันนาน (มีด้วยหรอวะ ฮ่าๆ) ผมเลยจัดแจงไปรีดไถบทความจากเพื่อนมาลงให้ทุกท่านได้ยลกันเพื่อเป็นการขัดตาทัพไปก่อน และคิดว่าคงจะใช้มุกนี้ไปอีกซักระยะหนึ่ง (อันนี้มันก็ต้องขึ้นอยู่กับดีกรีความขี้เกียจหละนะ อิอิ) ไม่เขียนเองแม่งแล้ว เดี๋ยวไปไถให้เพื่อนๆมันเขียนเอา แล้วก็ฉกมาลง blog กูซะ เหอ เหอ

เป็นบทความสั้นๆที่เพื่อนผมเขียนลงในนิตยสาร Lumpini ฉบับประจำเดือนธันวาคม

ขอเชิญทุกท่านทัศนา.......


“ยิ่งจดก็...ยิ่งเก็บ”
จริงหรือ?

เมื่อปัญหาหนี้ภาคประชาชนถูละเลยมานาน มาวันนี้ก็ชักจะบานปลาย รัฐบาลเลยพยายามออกโฆษณาเพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนหันมาเก็บออมกัน โฆษณาหนึ่งที่ผมเห็นอยู่บ่อยๆคือโฆษณา ยิ่งจดยิ่งเก็บ ที่เนื้อเรื่องย่อคือมีสองสามีภรรยาคู่หนึ่งที่ในอดีตต่างใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย เรียกว่าได้เงินมาเท่าไหร่ก็ใช้ซะหมด ต่อมาทั้งสองคนก็รู้จักจดบันทึกรายรับรายจ่ายทำให้มีเงินเก็บออม และจบด้วยการมีฐานะที่ดีขึ้น

ดูเผินๆก็เหมือนว่าการจดอาจจะช่วยให้เรารู้ว่าใช้จ่ายอะไรออกไปบ้างแล้วก็อาจจะสามารถออมเงินได้มากขึ้น แต่เมื่อผมลองตั้งคำถามกับตัวเองหนักๆเข้าว่า “การจดมันหรือการทำบัญชีมันทำให้เราออมได้จริงหรือ ?” หรือหลังจากที่เรารู้ว่าเราจ่ายอะไรไปบ้างแล้ว “เรามีทางเลือกในการตัดรายจ่ายบางอย่างจริงหรือ ?”

ผมก็พบว่ามันดูเหมือนจะเป็นคนละประเด็นกันเลย หากผมจะมองในแง่ดีว่าว่าการจดที่โฆษณากล่าวถึงนั้นต้องการจะหมายไปถึงการทำบัญชี แต่การทำบัญชีเพียงอย่างเดียวก็อาจจะไม่สามารถทำให้เรามีเงินออมก็เป็นไปได้ ความจริงข้อนี้ก็เห็นๆกันอยู่ เช่น บริษัทมากมายที่มีการทำงบดุลก็ไม่สามารถจะควบคุมหนี้สินไม่ให้มากเกินไปได้ ขนาดบริษัทที่มีคนตั้งมากตั้งมายยังทำไม่ได้นับประสาอะไรกับชาวบ้านธรรมดาอย่างเราๆท่านๆมีจะอาศัยการจดบันทึกเป็นคำตอบที่ “สำเร็จรูป” ที่จะทำให้เรามีเงินเก็บ

ดังนั้นนี่มันคงเหมือนกับการแก้ปัญหาทั่วไป คือ อย่างแรกเราต้องรู้ว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน เพื่อจะเกาให้ถูกที่คัน เช่นเดียวกันประโยชน์อย่างแรก คือทำให้เรารู้ว่าได้รับเงินมาจากช่องทางไหนบ้าง ใช้จ่ายไปตามช่องทางไหนบ้าง ซึ่งมันก็แค่ขั้นตอนแรกเท่านั้น เพื่อที่ในลำดับต่อไปเราจะได้ตรวจสอบว่ารายจ่ายไหนที่ไม่มีความจำเป็นไม่จำเป็น เงินที่จ่ายไปเพื่อซื้อของแล้ว ของที่ซื้อมานั้นเราเอามาใช้งานบ่อยรึเปล่า แล้วไอ้ที่ใช้อยู่นั้นมันมีอย่างอื่นที่ถูกกว่าให้ใช้แทนกันได้รึเปล่า บางทีรู้ว่าเราจ่ายอะไรไปบ้างแล้วและก็เป็นเงินก้อนโตแต่ก็ไม่มีทางเลือก ต้องจ่ายไป(ปัญหาแบบนี้เยอะแยะไป ตามชนบท) ซึ่งมันเป็นเรื่องที่สำคัญมากแต่ไม่ยักพูดถึงเลยในโฆษณา

ถ้าโฆษณานี้ต้องการเกาให้ถูกที่คันจริงๆล่ะก็น่าจะเป็นการสอนเรื่องการสร้างวินัยในการออมมากกว่าและมันก็ต้องพูดกันยาวเลย มีมายมายหลายวิธี (อ่านตามหนังสือจำพวก พ่อ ร๊วย รวย มากๆ....สอนลูก ไม่รู้เมื่อไหร่จะเลิกตั้งชื่อแบบนี้) ดังนั้นแล้วถ้าย้อนกลับไปดูโฆษณามันก็เหมือนกับว่าสองสามีภรรยานั้นรวยโดยไม่รู้สาเหตุ ผมถึงตั้งชื่อเรื่องว่า “ยิ่งจดก็...ยิ่งเก็บ” (ที่ต้อง ... ไว้ก็เพราะเค้าไม่ได้บอกเลยว่าหลังจากนั้นทำไงต่อถึงมีเงินเก็บ)

26 comments:

natsima said...

หวัดดีครับ คุณ Mr.Gelgloog
แวะมาเยี่ยมบ้าง..เกรงว่า blog จะเหงาเกินไป :)
สำหรับประเด็นยิ่งจดยิ่งเก็บนั้น จากการทดลองกับตัวเอง ผมว่ามันให้ผลด้านจิตวิทยาแฮะ
..พูดง่ายๆ คือมันทำให้เรางกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เพราะขณะที่เราจดว่าเราจ่ายอะไรไปบ้างนั้น perception จะบอกเราว่าเรากำลัง"สูญเสีย" ทรัพย์สินไป

มีทฤษฎีด้าน Pricing Psychology อยู่ทฤษฎีหนึ่งเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อความอ่อนไหวด้านราคาของผู้บริโภค (ชื่อ Framing Effect ครับ)กล่าวไว้ว่าคนเราจะ Happy กับการที่ตัวเอง "ได้รับ (gain)" มากกว่า "สูญเสีย (losses)"

พูดง่ายๆ ว่าถ้าเรารู้สึกว่าเรา "Losses" ขึ้นมาเมื่อไหร่ เรามีปฏิกิริยาตอบกลับต่อความรู้สึกนั้นอย่างแรงครับ

ไม่เชื่อ...คืนนี้ลองชักชวนพี่น้องล้อมวงเล่นไพ่กันดู
แล้วพรุ่งนี้มาบอกผมทีว่าตอน "เสีย" มากๆ หน้ามืดบ้างรึเปล่า?

Gelgloog said...

คุณ Natsima

ประเด็นที่ยกมานี่ก็น่าสนใจดีนะครับ สำหรับผมคิดว่าการจดมันมี effect อยู่แล้วล่ะครับ แน่นอนว่ามันอาจจะไม่ใช่สูตรสำเร็จเสียทีเดียว สำหรับผมมองว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นในการเก็บข้อมูลการใช้จ่ายให้มีระบบ แต่จะออมได้มากหรอกน้อยอันนี้ไม่รู้แฮะ

ไว้ว่างๆต้องลองทำดู

ป.ล.
ผมขอถือวิสาสะแอด link คุณไว้ใน blog เลยนะคงไม่ว่ากัน

crazycloud said...

จดเสร็จ เพื่อปลูกบ้านหลังใหญ่ ในโฆษณา

ผมมองว่าโฆษณานี้ดูเผินๆดี แต่สุดท้ายกระตุ้นต่อมอยากให้ชาวบ้านอยู่ดี

นายกแลลูกหลาน ออกงานไฮโซ ใช้ชีวิตโก้หรู แบบอย่างไม่มีดูสำหรับประชาชี

ออม เพื่อมีใช้เยอะๆ ซื้อของเยอะ มันก็แค่จัดการทรัพยากรเพื่อความโลภในของชนิดใหญ่ขึ้น มูลค่ามากขึ้น อย่างนี้ตีโจทย์ ไม่ใช่ไม่แตก แต่ไมถูก

เพราะนายกอยู่ในท่ามกลางชีวิตหรู เหมือนปลาไม่เห็นน้ำ จะให้ว่ายไปถูกทิศได้กะไร

ประชาชนปัจจุบันจึงเป็นโรคโก้ตามนายก จนไม่มีจะรับประแดก หนี้ท่วม กันเช่นนี้ ชาตินี้ ชาติเราคงวิบัติเป็นแน่แน่ว หือ หือ

Gelgloog said...

อีกคำนึงที่ทำผมโคตรจะงงก็คือ "เศรษฐกิจพอเพียง" เนี่ยแหละ

เคยฟังคุณท่านสนธิมาพูดที่ มศว (พอดีที่มหาลัยเก่าผมจัดงานสัมนาเลยเชิญเฮียเค้ามาพูดหน่อย)ก็พูดถึงเรื่องเนี้ยแหละ ผมหละงงไปสามวันแปดวัน

เฮียเค้าบอกว่า "เศรษฐกิจพอเพียง" คือสอนให้เรา "รวย" แต่รวยแบบ "ยั่งยืน" นะจะบอกให้ เอาง่ายๆก็คือเฮียเค้ากำลังจะบอกว่าเศรษฐกิจพอเพียงก็คือการรวยไม่เลิกนั่นเอง

งงหวะ

สรุปจะให้กู "พอ" หรือ "รวย" กันแน่วะ ตอนนี้งงมึนไปหมด ไม่รู้แล้วว่าอันไหนพอเพียง อันไหนไม่พอเพียง กูหละวิน...

อย่างไรก็ตามผมเชื่อนะครับว่า "มโนทัศน์" ของคำว่า "พอเพียง" ของแต่ละคนมันก็คงไม่เหมือนกัน แล้วอันไหนหละที่ว่าเป็น "พอเพียง" แบบจริงๆ

เห็นทีคงต้อง "พอก่อน" แฮะ ชักจะเลอะเลือนไปเรื่อย และหวังว่าซักวันผมคงหาคำตอบให้ตัวเองได้...

Anonymous said...

การจด คงเป็นจุดเริ่มต้นที่รัฐอยากให้ประชาชนตระหนักถึง (หรือเปล่า)

ผมเองไม่เคยทำอะไรแบบนี้ที่เมืองไทยหรอกครับ
เคยทำตอนอยู่ญี่ปุ่น แต่จดไว้เพราะอยากรู้ว่าใช้อะไรไปมากแค่ไหนเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์อื่นใดเลย

อ้อ ปกติผมตีแบดทุกอาทิตย์หล่ะครับ (ถ้าว่าง) ส่วนใหญ่ตีกับเพื่อนๆ พี่ๆ ใน net กับเพื่อนๆ พี่ๆ ที่เรียนโทด้วยกันครับ ตีไปเรื่อยตั้งแต่ห้วยขวาง ถึงบางซื่อโน้นเลยทีเดียวครับ คุณ GELGLOOG สนใจหรือเปล่าครับ

Tanusz said...

ผมเห็นด้วยกับโฆษณานี้นะ(ในเรื่องของการทำบัญชีนะ) เพราะผมทดลองทำกับตัวเอง ปกติผมใช้จ่ายเงินไม่ค่อยคิด เอาความสบายตัวเองเป็นหลัก ทำงานมาเกือบ 3 ปี ไม่มีตังเก็บซักบาท สิ้นเดือนทีก็บ่นทีว่าเงินหายไปไหนหมด

พอลองจดเงินที่จ่ายออกไปในแต่ละวัน แล้วพอสิ้นสัปดาห์มาดูที ก็เลยรู้ว่าตัวเองใช้เงินไร้สาระมาก โดยเฉพาะสุราฮาเฮ ความรู้สึกแรกคือเสียดายเงินครับ ถ้าย้อนกลับไปได้ ผมจะไม่จ่ายเงินสำหรับบางรายการ

ผลที่ได้รับคือผมระมัดระวังเรื่องค่าใช้จ่ายมากขึ้นโดยอัตโนมัติ แม้ตอนนี้ผมจะไม่ได้ทำบัญชีรายจ่ายแล้ว(เพราะขี้เกียจ)กรับ!!

Gelgloog said...

ครับ!!

ต่างคนก็ต่างความคิด แล้วไว้ผมจะไปบอกมันให้นะครับ5555 โบ้ยแม่งเลย

คุณริว

ผมสนใจอะ ปกติผมก็เล่นกับเพื่อนทุกอาทิตยเหมือนกันครับ ตีที่สนามแบดฯ เสนานิคม แถวๆ สี่แยกวังหินไม่ทราบว่าคุณรู้จักรึป่าว??

คุณ tanusz

ผมก็เหมือนกับคุณแหละครับ แต่อาจจะหนักกว่าเพราะไม่เคยจะจดเล้ย เหอ เหอ

Anonymous said...

ถ้าหากการจดจะได้ผล ก็เป็นเพราะช่วยกระตุ้นเตือนให้เราสามารถตัดรายจ่ายที่คิดว่าสุรุ่ยสุร่ายออกไปได้

ปัญหาที่ผมต้องการนำเสนอ อยู่ที่ว่าการตัดร่ายจ่ายได้นั้น ก่อนอื่นจะต้องรู้ว่ารายจ่ายอะไร จัดอยู่ในประเภทสุรุ่ยสุร่าย

ซึ่งอาจเป็นเรื่องยากที่จะหาสูตรสำเร็จมาอธิบาย(แบบสั้นๆ)

เพราะการที่เราจะจ่ายเงินออกไปนั้นเรามักจะหาเหตุผลเพื่อสร้างความชอบธรรมที่จะใช้เงินจนได้

ซ้ำร้ายกว่านั้น อาจเป็นไปได้ว่าบางท่านอาจจะไม่ใช้เหตุผล ก่อนตัดสินใจจ่ายเงินออกไป

อีกกรณีหนึ่ง บางครั้งบางคราว เราอาจจะพบว่าชาวบ้านธรรมดาๆรู้ว่าได้จ่ายเงินอะไรออกไปบ้าง แต่ท่านเหล่านั้นไม่สามารถลดรายจ่ายได้เลย

เช่น ผมเคยพบว่าชาวนาชาวสวน หลายท่าน หมดเงินไปมากมายกับค่าปุ๋ย และ ยาฆ่าแมลง เรียกว่าทำเท่าไหร่ก็ยากจะรวย เค้าเหล่านนั้นอธิบายได้เป็นฉากๆ ว่าจ่ายเงินไปเท่าไหร่ในการทำเกษตร แต่ก็ต้องจำใจใช้ต่อไป

สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะอาจจะขาดความเข้าใจในการทำเกษตรทางเลือก(ผมไม่ได้หมายความว่าเค้าไม่รู้จักนะครับ อาจจะรู้แต่ขาดคนแน่นำอย่างถูกวิธี)

เข่นเดียวกัน อาจมีเด็กมากมายในเมืองที่รู้ว่าจ่ายค่าโทรศัพท์มือถือไปกี่บาท ทุกครั้งที่มองบิล(และรายจ่ายหลายอย่างที่มีการออกบิลให้...คงพอทดแทนการจดบันทึกได้) แต่อาจไม่รู้เลยว่าควรใช้มันอย่างไรถึงเรียกว่าไม่ไร้สาระ,ไม่สุรุ่ยสุร่าย...ดังนั้นการใช้วิธีบันทึกรายจ่าย อาจไม่กระตุ้นให้เกิดการเก็บ(ก็เป็นได้)

Gelgloog said...

ขอบคุณสำหรับอีกหนึ่งความคิดเห็นดีๆนะคร้าบ

ว่างๆก็แวะมาเยี่ยมกันมั่งนะ

Anonymous said...

อืม คนโฆษณาก่อนที่จะออกไอเดียมา ต้องตีโจทย์ให้แตกซะก่อนเนอะ

Anonymous said...

มันมีโฆษณาใหม่แล้วไง พี่

"ออมเงิน ออมเงินเอาไว้

ฉุกเฉินเมื่อไร จะได้ใช้เงินออม"

555

ดูอันแรก แล้วมาดูอันนี้ต่อ

จด เก็บ แล้วก็ออม...

แต่บางทีนะ ถึงชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ ไทย จะจด และรู้ว่าได้จ่ายเงินอะไรออกไปบ้าง

แต่มันก็อาจจะลดรายจ่ายอะไรไม่ได้เลยก็เป็นไปได้

เพราะเค้าอาจจะซื้อแต่ของที่จำเป็นจริงๆ ก็ได้

แล้วทำไงอะ ทีนี้

จน... อย่างเก่า ง่ะ

Gelgloog said...

เนอะ บางอย่างมันเป็น fix cost อ่านะ

แต่คิดว่ามันน่าจะช่วยได้สำหรับการใช้จ่ายประเภทที่สุรุ่ยสุร่ายต่างๆอะนะ อันนี้ก็ต้องลองหวะ

พี่เองก็ไม่เคยลองเลย

ว่าแต่เอ็งเหอะ เคยลองรึป่าว ไอ้เทม 55

Anonymous said...

Mr.GELGLOOG ไปตีทุกอาทิตย์เหรอครับ
ดีครับ ออกกำลังกาย

แยกวังหินเนี้ย อยู่ใกล้ๆ บ้านผม แต่ไม่รู้จักหรอกครับ ไม่เคยไปหน่ะ

ปกติผมตีห้วยขวาง ไม่ก็บางซื่อหน่ะครับ

แต่ช่วงนี้งานยุ่งๆ เลยไม่ค่อยได้ตี ประกอบกับปีใหม่ด้วย เพื่อนๆ ไม่ค่อยว่างครับ

ไว้มีโอกาสคงได้ไปตีด้วยกันครับผม

Gelgloog said...

โอววว

เจอกันแน่นอน

จากแยกวังหินนะครับ มุ่งไปทางลาดปลาเค้า สนามจะอยู่ข้างๆกับปั๊ม ปตท ครับ (ปั๊ม ปตท ป่าววะ ไม่แน่ใจ 55)

พูดแล้วก็อยากเล่นขึ้นมาอีกแฮะ อิอิ

Anonymous said...

อย่างที่ในหลวงตรัสดีสุดแล้วอ่ะ
เศรษฐกิจพอเพียง

Anonymous said...

พูดยากนะ--พี่บอยออกกำลังกายเป็นด้วยเหรอ? นอกจากสาระดีแล้วยัง---
อยากจะมีอะไรแย้งบ้างพึ่งไปสอบมาแล้วก็มาอ่าน ไม่ค่อนมีความรู้สะสมทางนี้บ้างเล้ย--จริงๆ
มันมีอะไรที่ค่อนข้างหลากหลายดี
ก็เข้ามาอ่านอยู่เรื่อยๆ ช่วงนี้เห็นว่าหนังสือไม่ได้แตะเลยใช่ป่ะ คนเก่งๆก็พูดอย่างนี้แหละเอาเป็นว่า**เรียนจบเมื่อไรเนี่ย มาขอคำแนะนำละกันค่ะทีจริงตอนนี้ก็รบกวนเรื่อยๆอยู่แล้ว---พยายามเข้านะพี่บอย**หวัดดีปีใหม่อีกครั้งค่ะ

Anonymous said...

นอกเรื่องแล้วกัน ..... ขออวยพรปีใหม่ ขอให้มีสุข ปลอดทุกข์ ปลอดโรค บุญรักษา ชีวาเป็นสุขครับ

Gelgloog said...

เช่นกันครับ

ปีใหม่ขอให้ ปลอดสุข เอ้ย!! ปลอดทุกข์ สุขใจกันถ้วนหน้าเลยนะขอรับ

สวัสดีดีปีใหม่ทุกท่านเลยเน้อ.....

Anonymous said...

แวะมาสวัสดีปีใหม่ครับผม

ปีใหม่ปีนี้ขอให้อุบัติเหตุลดลง
ปีหน้าขอให้สิ่งดีดีผ่านเข้ามาในชีวิต
มีความสุขกับชีวิตเดิมๆ รสชาติใหม่ๆ

สวัสดีปีใหม่นะครับ

Anonymous said...

หวัดดีปีใหม่ ขอให้พี่เรียนจบไวๆ เหมือนกินเหล้าแกร่งๆ

Anonymous said...

จากผมนะข้างบนนะ คัส

Anonymous said...

Happy New Year ครับผม
ปีใหม่แล้ว มีความสุขมากมากนะครับ

crazycloud said...

Hap Hap py new mear oh no new year krab

Anonymous said...

เม้นให้ค่ะ จะมาอ่านเรื่อยๆน่ะค่ะ

สู้ๆ สู้ตาย รีบกลับมาเขียนเองไว้ เน้อ

Anonymous said...

สุดยอดเลยจิงๆ น่ายกย่ิองคนที่ทำเพื่อสังคมนะ

Anonymous said...

วิธีนี้ดีนะครับ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมาก หลังจากรวบรวมข้อมูล จดไปเรื่อยๆ เวลาเอากลับมาดู ก็จะเห็นส่วนเกินอยู่ตรงไหน ทำให้แก้ง่าย แล้วก็เหมือนคนอื่นที่ว่า มันเป็นเรื่องจิตวิทยา พอเห็นว่า ปีหนึ่งเราจ่ายค่ากินเหล้า 36,000บาท หรือค่าบุหรี่ปีละ 15,000บาท ใจเราก็จะบอกตัวเอง...