Tuesday, October 31, 2006

Book Review ครั้งแรกในชีวิต "Japanization" โดย อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์

จริงตอนแรกกะจะไม่ up blog ซักสองสามเดือนนะเนี่ย แต่บังเอิญเชคดีเหลือเกินที่ช่วงนี้ได้มีโอก่าทำ Book Review ครั้งแรกในชีวิต ยังไงขอฝากเนื้อฝากตัวสำหรับการทำ Book Review ของผมด้วยนะครับ (เกิดมาไม่เคยทำจริงๆ แต่ที่มีโอกาสได้ทำก็เพราะความจำเป็นบางประการ ฮ่าๆ)



กล่าวคำ

ภายใต้บริบทโลกที่ทั่วทุกอณูสามารถเชื่อมต่อด้วยกันได้อย่างง่ายดาย การหลั่งไหลของวัฒนธรรมอื่นกลายเป็นกระแสหนึ่งที่สังคมไทยจะต้องเผชิญหน้า ดังนั้นแล้วการรับรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมและสังคมภายนอกจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง การ “รู้เขา” จึงถือได้ว่าเป็นกุญแจอันสำคัญที่จะทำให้เราสามารถตระหนักต่อความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้น (และกำลังจะเกิดขึ้น) เพื่อให้เราสามารถปรับเปลี่ยนท่าทีได้อย่างเหมาะสมและสร้างสรรค์ความสัมพันธ์อันก่อเกิดมาจากพื้นฐานความเข้าใจซึ่งกันและกันต่อสังคมภายนอกได้

และภายใต้บริบทดังกล่าวเราคงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า “ญี่ปุ่น” ก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่เข้ามามีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของเรา เนื่องด้วยความสัมพันธ์ที่มีต่อกันมายาวนาน รวมไปถึงการขยายเข้ามาของอำนาจทางเศรษฐกิจญี่ปุ่นผ่านกระบวนการโลกาภิวัตน์ แต่ปัญหาสำคัญที่เราเผชิญอยู่ก็คือการรับรู้เกี่ยวกับ “ความเป็นญี่ปุ่น” ในสังคมไทยเป็นไปอย่างฉาบฉวย อิทธิพลของการศึกษาแบบตะวันตกทำให้โลกทัศน์ที่เรามีต่อญี่ปุ่นเป็นในลักษณะที่ตายตัว (Stereotype) และกรอบสำเร็จอย่างตายตัวนี่ก็เป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะการนำเสนอเรื่องราวที่ยึดเอาโมเดลความสำเร็จของญี่ปุ่นเป็นต้นแบบ

แต่ปัญหาดังกล่าวถูกอุดไว้และเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปโดยอาจารย์อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ ซึ่งได้ประมวลความรู้เกี่ยวกับญี่ปุ่นในแง่มุมต่างๆไว้อย่างกระชับ ทั้งด้านวัฒนธรรม สังคม การเมือง และเศรษฐกิจ โดยผนวกเอามิติทางประวัติศาสตร์เข้าไปเพื่อให้โลกทัศน์ที่มีต่อญี่ปุ่น (ในสายตาเรา) มีความชัดเจนยิ่งขึ้น


ญี่ปุ่น : ภาพรวมและวิธีการทำความเข้าใจ

สำหรับในหนังสือเล่มนี้ อาจารย์อรรถจักร์เริ่มต้นด้วยการพิจารณาผลพวงอันมาจากมรดกทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าได้ว่าเป็นปัจจัยอันสำคัญที่ก่อร่างสร้างความญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่ทำให้ประเทศญี่ปุ่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและประสบความสำเร็จในหลายๆด้าน ณ จุดเริ่มต้นดังกล่าว ผู้เขียนได้แบ่งการพิจารณาออกเป็นสองส่วน โดยส่วนแรกจะเป็นการมองเงื่อนไขความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์-ภูมิศาสตร์ และส่วนที่สองจะมองมรดกทางประวัติศาสตร์ในฐานะเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาจากเงื่อนไขทางสังคม วัฒนธรรม อำนาจ ในแต่ละช่วงเวลา

ผู้เขียนมองว่าภายใต้สภาพความเป็นเกาะที่ถูกทิ้งอย่างโดดเดี่ยวของญี่ปุ่นนั้นทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “กระบวนการคัดสรร” กล่าวคือการเป็นเกาะที่แยกตัวชัดเจนทำให้ญี่ปุ่นมีความสามารถที่จะเลือก “รับ” หรือ “ไม่รับ” วัฒนธรรมที่มาจากต่างถิ่นได้ง่ายกว่ารัฐที่มีผืนแผ่นดินใหญ่และมีเขตแดนเชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน ซึ่งกระบวนการคัดสรรดังกล่าวมีผลอย่างมากต่อการสร้างสรรค์สติปัญญาของญี่ปุ่น โดยการรับเอาสิ่งที่มีประโยชน์จากภายนอกเข้ามาต่อยอดความรู้และภูมิปัญญาของตน จนท้ายที่สุดแล้วกระบวนการดังกล่าวจะนำมาสู่การ “กลืน” เข้ามาเป็นญี่ปุ่น นั่นคือได้ทำการรับเอาสิ่งต่างๆจากภายนอกเข้ามาเป็นของ “ตัวเอง” ได้อย่างมีพลัง ซึ่งผู้เขียนได้ยกตัวอย่างจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไว้หลายประเด็น แต่กรณีหนึ่งที่ (ผมคิดว่า) น่าสนใจ ก็คือการที่ญี่ปุ่นสามารถรับเอาการ์ตูน (ซึ่งสมัยนั้นถือได้ว่าเป็นสิ่งใหม่และเป็นสิ่งภายนอก) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีประสิทธิภาพเสียจนกลืนเอาการ์ตูนให้กลายเป็นหนึ่งของวัฒนธรรมตนและขยายตัวออกสู่ภายนอกในระยะเวลาต่อมาอย่างกว้างขวาง

มรดกทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือการที่ความสัมพันธ์ระหว่าง “รัฐ” กับ “ท้องถิ่น” มีความเป็นอิสระจากส่วนกลางมาก ทำให้สังคมญี่ปุ่นสามารถพัฒนาความเป็นท้องถิ่นเฉพาะของตนได้อย่างมีพลัง และมีความสามารถในการสืบทอดจิตสำนึกความเป็นชุมชนท้องถิ่นเอาไว้ในระดับสูง ผู้เขียนได้แสดงให้เห็นโดยมองย้อนกลับไปถึงสมัยโตกุงาว่าที่ญี่ปุ่นถูกทำให้เป็นดินแดนปึกแผ่น ซึ่งแม้ว่าจะอยู่ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวส่วนกลางก็ไม่สามารถที่จะลดความเป็นท้องถิ่นของญี่ปุ่นลงได้ แม้ว่าส่วนกลางจะพยายามสร้างกลไกโดยให้บรรดาเจ้าเมืองผู้ครองแคว้นเดินทางมาเอโดะเป็นประจำเพื่อลดทอนการสะสมทรัพย์ (เพื่อที่ต้องการจะลดอำนาจนั่นเอง) แต่ท้ายที่สุดแล้วการสืบทอดอำนาจและความรู้ในตระกูลก็ยังคงเป็นสิ่งที่มีอยู่ จนกระทั่งนำไปสู่การปฏิรูปประเทศในศตวรรษที่ 19

ผู้เขียนได้พิจารณาผ่านเงื่อนไขทั้งสองข้อโดยผนวกเอาหลักฐานทางประวัติศาสตร์เข้าไปเพื่อชี้ให้เห็นว่าการศึกษาทำความเข้าใจญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหมือนดังที่เราเคยทำกันภายใต้แบบแผนที่อธิบายญี่ปุ่นอย่างสถิตย์ (static) ตายตัว ดังนั้นแล้วการอธิบายญี่ปุ่นภายใต้ความเปลี่ยนแปลงจึงเป็นสิ่งที่จะทำให้เราสามารถเข้าถึงความเป็นญี่ปุ่นได้ดียิ่งขึ้น

ดังนั้นเมื่อเริ่มต้นด้วยการพิจารณามรดกทางประวัติศาสตร์ การพิจารณาแง่มุมดังกล่าวจึงกลายมาเป็น hallmark ในหนังสือเล่มนี้ ตั้งแต่เรื่องราวของการทำความเข้าใจพัฒนาการเศรษฐกิจญี่ปุ่น ที่ผู้เขียนพยายามลบล้างภาพความเข้าญี่ปุ่นในลักษณะแบบตายตัว (เช่นการให้คำอธิบายว่าชนชาติญี่ปุ่นเป็นคนขยันจึงประสบความสำเร็จโดยปราศจากพลวัตร โดยไม่ได้มองว่าญี่ปุ่นก็เหมือนเฉกเช่นชาติพันธุ์อื่นที่มีทั้งความขยันและเกียจคร้านคละกันไป) โดยนำเสนอผ่านขั้นตอนทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยเมจิมาจนถึงภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจในช่วงทศวรรษ 1990 รวมไปถึงการให้ภาพพัฒนาการทางการเมืองของญี่ปุ่นที่มีระบบราชการที่เข้มแข็งซึ่งมีรากฐานอันเป็นผลพวงมาจากกลุ่มชนชั้นซามูไรที่ถ่ายโอนตัวเอาเข้ามาสู่ระบบราชการ ซึ่งแม้ว่าญี่ปุ่นจะดำเนินความเป็นไปผ่านยุคสงครามจนมีการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจการเมืองหลายประการแต่ระบบดังกล่าวก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจเรื่องราวต่างๆอยู่สูง

ต่อเนื่องจากเรื่องราวของการเมืองและเศรษฐกิจ ผู้เขียนได้นำไปสู่อีกสิ่งที่น่าสนใจก็คือการที่สังคมญี่ปุ่นสามารถดำรงความเป็น “กลุ่ม” ไว้ได้เป็นอย่างสูงโดยผ่านทางปัจจัยทางประวัติศาสตร์ที่ชุมชนหมู่บ้านในแบบสังคมเกษตรที่จะต้องร่วมมือทำกิจกรรมในทุกๆเรื่องจนก่อให้เกิดความแน่นแฟ้น รวมไปถึงการที่รัฐให้ความสำคัญในการสร้างจิตสำนึกกลุ่มโดยปล่อยให้ให้ชุมชนท้องถิ่นมีความอิสระ และมุ่งกระชับความสำคัญมากกว่าเพื่อเน้นไปในด้านการขูดรีดส่วนเกินจากชุมชน ซึ่งลักษณะจิตสำนึกความเป็นกลุ่มดังกล่าวของญี่ปุ่นมีความเข้มข้นมาก เข้มข้นเสียจนฝังแน่นอยู่ในระบบความนึกคิดของคนญี่ปุ่นโดยทั่วไป มรดกความเป็น “กลุ่ม” ดังกล่าวทำให้คนญี่ปุ่นจะนิยามตัวเองผ่านกลุ่ม หรือสังกัดที่ตนอยู่ มากกว่าที่จะนิยามตัวเองด้วยตัวเอง เช่นในกรณี (ที่ผมเจอในการ์ตูนบ่อยๆ) ก็คือเรื่องของการนัดบอดหรือการดูตัวที่คนญี่ปุ่นจะให้ความสำคัญต่อสังกัดหรือกลุ่มมากกว่าความเป็นตัวตนของคู่ดูตัว โดยให้ความสำคัญกับสังกัดอาชีพหรือสถาบันที่จบการศึกษา มาเป็นอันดับแรก

นอกเหนือจากเอกลักษณ์ทางสังคมแบบกลุ่มที่ชัดเจนแล้ว การนับถือศาสนาของคนญี่ปุ่นก็มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่แพ้กัน ภายใต้รากฐานที่สังคมมีความตึงเครียดสูง ศาสนาในญี่ปุ่นจึงถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาชีวิตประจำวัน โดยเป็นที่พึ่งพิงทางจิตใจ โดยการเปิดกว้างรับเอาพิธีกรรมของศาสนา (ทั้งต่างศาสนา หรือศาสนาเดียวกันแต่คนละนิกาย) เข้ามาในวิถีชีวิตตน ทำให้มีการประสมปนกันระหว่างพิธีกรรมต่างๆ (โดยที่คนญี่ปุ่นบางคนก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพิธีกรรมไหนเป็นของศาสนาใด) กล่าวคือเอกลักษณ์ในการนับถือศาสนาของคนญี่ปุ่นก็คือการที่ไม่มีเอกลักษณ์ในการนับถือศาสนานั่นเอง

ประเด็นเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมที่ผ่านมาถือได้ว่าเป็น theme หลักในการนำเสนอภาพของญี่ปุ่นในหนังสือเล่มนี้ อย่างไรก็ตามผู้เขียนได้เพิ่มเติมประเด็นย่อยเข้าไปเพื่อให้การอธิบายภาพญี่ปุ่นมีความชัดเจนขึ้น โดยเจาะลงไปเฉพาะเรื่อง ตั้งแต่เรื่องการผักผ่อนหย่อนใจของคนญี่ปุ่นทั้งด้านมืดและด้านสว่าง (ส่วนตัวผมคิดว่าประเด็นนี้ผู้เขียนนำเสนอได้น่าสนใจมาก เพราะได้ให้คำอธิบายต่อปรากฏการณ์ต่างๆไว้อย่างลึกซึ้ง เช่นเรื่องพฤติกรรมการดื่มเหล้าของคนญี่ปุ่นที่ภายในแฝงไปด้วยมิติที่ทับซ้อนกันหลายเรื่อง หรือการให้คำอธิบายต่อความโดดเด่นของการพักผ่อนด้านมืดสำหรับคนญี่ปุ่นที่มีความ “เกิน” ปกติเป็นอย่างมาก (เช่นการให้บริการดูผู้หญิงช่วยตัวเอง การเปิดร้านซื้อขายชุดชั้นในของสตรีที่ยังไม่ได้ซัก เป็นต้น) รวมไปถึงการวิเคราะห์กำเนิดกลุ่มชนชั้นกลางและบทบาทของพวกเขาเหล่านั้นในสังคม รวมไปถึงพิจารณาถึงกระบวนการความซับซ้อนในการสร้างและเก็บกดผู้หญิงในสังคมญี่ปุ่นให้เป็นได้แค่ “แม่บ้าน” และ “เมีย” เท่านั้น

เป้าหมายของการ review คงไม่ได้อยู่ที่การนำเสนอภาพรวม หรือการให้คำอธิบายถึงความเป็นญี่ปุ่นในเชิงรายละเอียด หากแต่อยู่ที่การ pin point ให้เห็นถึงวิธีการให้คำอธิบายของผู้เขียนที่พยายามใส่ความเป็นพลวัตรในทุกเรื่องราว (การอธิบายในทุกๆบทของ อาจารย์อรรถจักร์ จะใส่มิติประวัติศาสตร์เข้าไป เพื่อให้เราสามารถมองเห็น “เหตุ” ของเรื่องราวต่างๆ และนำมาอธิบาย “ภาพปัจจุบัน” ได้อย่างดียิ่ง โดยที่อาจารย์ก็ไม่ได้ละเลยการให้คำอธิบายในมิติอื่นๆที่สอดเกื้อหนุนกันไปด้วย) เพื่อให้การทำความเข้าใจญี่ปุ่นเป็นไปอย่างดียิ่งขึ้น


อาทิตยานุวัตร

สามบทสุดท้ายถือได้ว่าเป็นจุดไคลแมกซ์ของหนังสือเล่มนี้ โดยอาจารย์อรรถจักร์ได้แสดงความห่วงใยที่มีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “อาทิตยานุวัตร” (japanization) กล่าวคือเป็นกระแสที่วัฒนธรรมความเป็นญี่ปุ่นได้ทะลักหลั่งเข้ามาในสังคมไทย (หลังจากที่เราเคยเผชิญกับกระแส Americanization เมื่อในอดีต) ทำให้สังคมเรามีห้วงความนึกคิดและอารมณ์เกี่ยวกับญี่ปุ่นมากขึ้น วัฒนธรรมของญี่ปุ่นต่างๆเริ่มเข้ามามีบทบาทในวิถีชีวิตเราอย่างหลากหลาย (ในความคิดผมช่องทางสำคัญในการไหลเข้ามาก็คือการผ่านทางตัวสินค้านั่นเอง) อย่างไรก็ตามความกังวลของผู้เขียนไม่ได้มีลักษณะแบบตื่นตระหนกในเชิงศีลธรรมแบบตื้นๆ (อย่างที่พวกไทยจัดเป็นกัน เช่นเมื่อเด็กเกิดฆ่าตัวตายขึ้นก็ไปโทษวง X JAPAN) แต่ผู้เขียนพยายามจะหาช่องทางในการปรับตัวให้เข้ากับกระแสดังกล่าวที่ไหลบ่าเข้ามามากกว่า

ซึ่งช่องทางแรกก็คือเรื่องของเศรษฐกิจที่ผู้เขียนมุ่งไปในเรื่องของการถ่ายโอนเทคโนโลยี โดยพยายามกระตุ้นเตือนให้เหล่าบรรดาแทคโนแครตหัดคิดนอกกรอบ ออกจากลักษณะที่ซูฮก (ศัพท์นี้ผมใช้เอง) ประเทศเจ้าของทุน เพราะกลัวว่าถ้าออกนอกจริตดังกล่าวจะทำให้ไม่ได้รับการลุงทุน รวมไปถึงควรจะมุ่งเน้นการสร้างอุตสาหกรรมของไทยให้มากขึ้นด้วย

อีกแง่หนึ่งที่สำคัญมากก็คือการปรับตัวในแง่อารมณ์ความนึกคิดที่มีต่อกระบวนการกลายเป็นญี่ปุ่นโดยเน้นไปที่เรื่องของการศึกษา ซึ่งสังคมไทยไม่ได้ให้ความสำคัญในแง่นี้เท่าที่ควร แม้ว่าเราจะการสอนภาษาญี่ปุ่นอยู่เยอะ แต่กลับกลายเป็นว่าทักษะภาษากลายเป็นจุดมุ่งหมายไป ทั้งๆที่มันควรจะเป็นเครื่องมือที่จะนำไปสู่หนทางการทำความเข้าใจสังคมญี่ปุ่นได้ดียิ่งขึ้น ท้ายที่สุดแล้วผู้เขียนได้ประณามระบบการศึกษาของเราที่ลดรูปการทำความเข้าใจสังคมอื่นๆให้เหลือภาษาว่าเป็นการทำร้ายสังคมอย่างที่สุด เพราะมันไม่ได้ให้การศึกษาที่จะทำให้เราจะก้าวไปเสมอภาคกับญี่ปุ่นได้หากแต่เป็นการผลิตคนเพื่อไปเป็นเพียงคนรับใช้นายญี่ปุ่นเท่านั้น


ปัจฉิมลิขิต

หนังสือเล่มนี้ถือว่าเป็นงานชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งถ้าหากเราต้องการจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับญี่ปุ่น และชี้ให้เห็นถึงทิศทางในการที่จะศึกษาสังคมญี่ปุ่นในแง่มุมที่ลึกขึ้นกว่าเดิม (โดยในเล่มนี้ก็คือการใช้วิธีทางประวัติศาสตร์) นอกเหนือไปจากนั้นผู้เขียนยังได้แสดงนัยยะในเชิงนโยบาย (อย่างกว้างๆ) อังเนื่อมาจากความกังวลในกระแส japanization ที่เกิดขึ้น (และกำลังจะเกิดขึ้น) เพื่อให้เรา (หรือประเทศ??) สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อสอดรับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้อย่างเหมาะสม

21 comments:

crazycloud said...

ในแง่ประสิทธิภาพ คุณภาพ ผมเป็นคนนึงที่เคารพ คามเป็นญี่ปุ่นเอามากๆเข้าขั้นโงหัวไม่ขึ้น จะมีก็แต่รอยตำหนิทางประวัติศาสตร์ของลัทธิทหารญี่ปุ่นที่แข็งกร้าวเท่านั้น ที่ผมรับไม่ได้

วัฒนธรรมญี่ปุ่น คือการผสมผสานตัวของวัฒนธรรมเดิม และวัฒนธรรมใหม่ เข้าอย่างกลมกลืนบ้างไม่กลมกลืนบ้าง

วัฒนธรรมองค์กรของญี่ปุ่น มีความเข้มแข็งสูง เนื่องจากได้รับอิทธิพลจาก วิถีซามูไร บูชิโด วิถีเซน และลำดับชั้นนิยมที่เคร่งครัด นี่คือหัวใจที่ทำให้ญี่ปุ่นเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่

ผมเคยอ่านเจอว่า ในหลักสูตรการศึกษาของญี่ปุ่นนั้น ทุกคนจะต้องอ่านหนังสืออย่างน้อยสี่เล่ม

ในเชิงปรัชญา ต้องอ่านคัมภีร์รากผัก
ในเชิงกลยุทธ ต้องอ่านซุนวู
ในเชิงปฏิบัติ ต้องอ่านสามก๊ก
ในเชิงจินตนาการ ต้องอ่านไซอิ๋ว

ด้วยเหตุนี้กระมัง กระทั่งฝรั่งเองยังสู้ญี่ปุ่นมิได้ มิพักต้องกล่าวถึงจีนต้นตำรับดั้งเดิมของวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่กำลังผงาดเป็นมังกรฟ้อนฟ้า อเมริกาจึงได้กลัวเลิ่กลั่ก

กลับมาเหลียวมองประเทศไทย แล้วอดสู ในขณะที่เขามีกองทัพ การเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ปัญญาที่เข้มแข็ง ประเทศไทยกลับมีเพียง กองทัพถ้วยถังกาละมังหม้อ

ปัญญาชนยังหลงวนในตำราฝรั่ง
นักกการเมืองยังหลงวนในเปรตภูมิ
ประชาชนยังหลงนในอบายมุขทุกรูปแบบ
คนดี ที่เคลื่อนไหวกลายเป็นเพียง ถาดทองรองเยี่ยวสุนัข

วัยรุ่น ยังสังวาสกันเหมือนกระต่าย รู้แต่เรื่องฟุตบอล กับ ศิลปะการร่วมเพศ ทุเรศคน

เห็นญี่ปุ่น แล้วมองตาปริบๆ

ในขณะที่ประเทศไทย เป็นได้แค่คู่ขาของสิงคโปร์ ให้เขามอัดตูด

Unknown said...

น่าสนใจดีครับ

Gelgloog said...

ที่คุณเมฆว่ามาก็ฟังขึ้น แต่อย่าลืมว่าญี่ปุ่นเอง ก็มีลักษณะสังคมด้านมืดที่ตกผลึกไม่เหมือนใครเหมือนกัน

วิถีด้านมืดและด้านสว่างของญี่ปุ่นนี้ขัดแย้งกันรุนแรงมากนัก

อย่างไรก็ตามการผสานวัฒนธรรมภายนอกให้กลายเป็นของตัวนั้นถือได้ว่าเป็นมรดกอันสำคัญของสังญี่ปุ่น และเป็นกุญแจที่ทำให้ญี่ปุ่นประสบความสำเร็จ

อ้อ ของคุณ คุณติ๊ก สกายฯ ที่แวะเข้ามาเยี่ยมด้วยนะครับ

Anonymous said...

เนี่ยไงเราเศรษฐกิจพอเพียงไง อุอุ

ทฤษฎีดีๆ ที่เป้นได้แค่ข้างอ้างเพื่อสร้างความชอบธรรม

Anonymous said...

อ่านแล้วเครียดจัง
เครียดจัง ก็เป็น เด็กน้อยชาวญี่ปุ่นเหมือนกันนะครับ เป็นพี่น้องกับ สุขคุง แต่ นิสัยต่างกันเลยครับ

เป็นไงครับ สบายดีหรือเปล่า
เออ อยากไปตีแบดจังเลยครับเนี้ย

Gelgloog said...

เดี๋ยวนี้อะไรๆก็ ศก พอเพียง ยันป้าย

จริงๆน่าจะใช้คำๆนี้แบบพอเพียงบ้างนะ เหอ เหอ

พี่ริวฮะ ผมไม่รู้จักสุขคุงแฮะ แต่ โศกจัง นี่เจอกันบ่อย555555

Gelgloog said...

เดี๋ยวนี้อะไรๆก็ ศก พอเพียง ยันป้าย

จริงๆน่าจะใช้คำๆนี้แบบพอเพียงบ้างนะ เหอ เหอ

พี่ริวฮะ ผมไม่รู้จักสุขคุงแฮะ แต่ โศกจัง นี่เจอกันบ่อย555555

Anonymous said...

งื้ดดด ยาววว เป็น review ที่เข้าขั้น ชำแหละ เลยนะเนี่ย

ขอบคุณสำหรับการแวะไป space (ก็ Blog อ่ะแหละ) ของเรานะคับ

ขอบคุณค้าบ

Anonymous said...

Hi, I've enjoyed visiting your blog. I am trying to get a site up and running similar the Travel Miami blog.

Anonymous said...

I like to set up a link to you from the Travel Yahoo blog. What do you think about that?

Anonymous said...

รายต่อไปก็จะเป็นเกาหลีหละ !!!

Anonymous said...

Hi
adult chat
Good job.....thanks.....Must be a reason to find friends in your area! Try my page....
G'night

Anonymous said...

[url=http://www.friendface.org/pg/profile/buy_augmentin]augmentin overdose[/url] In other words, case specificity means that performance with one patient related problem does not reliably predict performance with subsequent problems. [url=http://www.netknowledgenow.com/members/buy_5F00_bactrim.aspx]bactrim ear infection[/url] Work based methods of assessment target this highest level of the pyramid and collect information about doctors’ performance in their normal practice. [url=http://srandolph.communityserver.com/members/Buy-Cialis.aspx]Cialis impotenz[/url]

Anonymous said...

You've made some decent points there. I looked on the internet for additional information about the issue and found most people will go along with your views on this website.
My blog post ; play online blackjack for money

Anonymous said...

secure mobipocket ebook jack reacher fictionwise http://audiobooksworld.co.uk/Christoph-Kl-tsch/m20715/ download investment club ebook john updike picked up pieces ebook free ebook terry pratchett download amazon

Anonymous said...

Everything composed was actually very reasonable. However, consider
this, what if you added a little content? I am not saying your
content is not solid., however suppose you added something that grabbed a person's attention? I mean "Book Review ครั้งแรกในชีวิต "Japanization" โดย อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์" is kinda boring. You ought to peek at Yahoo's
front page and see how they create article headlines to get
viewers interested. You might add a related video or a related pic or two to grab
readers interested about what you've got to say. In my opinion, it might make your website a little livelier.

My weblog ... online casino usa

Anonymous said...

Your οωn post pгoνides vеrified neceѕsary to mе.
Ιt’ѕ ехtrеmely educаtiоnal and уοu're clearly very knowledgeable in this area. You get opened up my personal eyes in order to varying thoughts about this kind of subject matter along with intriguing, notable and solid articles.
Here is my web site :: Cialis

Anonymous said...

formait aux depens de la matiere albuniinoide, vente viagra en ligne, les Iniiles atscnliellcs, punto que la palabra aparece en los diccionarios, cialis, que el bienestar de cada uno depende del, man mano colorandosi fino a raggiungere un colore, viagra in italia, dalla faccia ventrale e dorsale. In den grossern Gefassen flussiges cialis preise, sphat und Calciumsulfat neben

Anonymous said...

dating pro romantic cabo san lucas scuba dating
online dating servicews http://freeinternetdating.info/matchmaker/gummi-bear-jason-millionaire-matchmaker kissing and dating
dating for plus sized women isatope dating looking for best dating magazine

Anonymous said...

dateline on line dating report http://loveepicentre.com/testimonials/ free lesbian dating turkey
dating alternate pooping [url=http://loveepicentre.com/taketour/]middle eastern lesbian dating[/url] dating websites for over 40
speed dating galleries [url=http://loveepicentre.com/articles/]bdsm dating sites[/url] foreign personals dating ukraine [url=http://loveepicentre.com/user/BronsonJosh04/]BronsonJosh04[/url] online dating sexsites

Anonymous said...

electronic cigarette starter kit, electronic cigarette, buy electronic cigarette, electronic cigarettes, e cigarette reviews, ecig