Thursday, June 22, 2006

รักในหลวง??



สืบเนื่องมาจากการที่เข้าไปอ่าน blog ของพี่ parinya เข้าให้ มันเลยกระตุกต่อมบางอย่างในตัวผมขึ้น เลยขอลุกขึ้นมาเขียนอะไรเป็นเรื่องเป็นราวกับเค้ามั่ง

-----------------------

ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาถือเป็นมหาโอกาสที่เป็นสำคัญและเป็นมงคลยิ่งสำหรับชาวไทย ที่ได้มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก แต่เรื่องนั้นผมว่ายังไม่สำคัญเท่ากับการที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานมิยอมเหน็ดเหนื่อยมาเป็นระยะเวลาเกินกว่าครึ่งศตวรรษ

ตลอดระยะกว่า 60 ปีที่ผ่านมา ท่านทรงปฎิบัติพระราชกรณียกิจ เอนกอนันต์นานัปการ เพื่อผสกนิกร ปวงชนชาวไทย ก่อให้เกิดคุณูปการต่อประเทศชาติอย่างมหาศาล และที่สำคัญ จากการที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเป็นระยะเวลานาน แนวคิด “เศรษฐกิจพอเพียง” ก็ได้ค่อยๆตกผลึกขึ้นมา และสุดท้ายก็กลายเป็นปรัชญาหลักของท่านในแนวทางการปฏิบัติและพัฒนาความเป็นอยู่ของราษฎรให้ดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งผลของวัตรปฏิบัติของท่านดังกล่าวเป็นสิ่งที่แทบไม่ต้องสาธยายกัน เพราะเราทุกคนต่างก็คงซาบซึ้งประจักษ์อยู่ในใจกันถ้วนหน้า

มันคงจะไม่เกินจริง ถ้าหากจะบอกว่าตั้งแต่หลังวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงกลายเป็นคำที่แสนฮิต กลายเป็นแฟชั่นอย่างหนึ่ง ที่ทุกหน่วยงาน กระทรวง กรม กองต่างต้องมีคำนี้แปะหน้าเอาไว้ไม่มากก็น้อย

แต่คำถามที่ควรจะตั้งประเด็นไว้ก็คือ...........จะมีใครซักกี่คนที่เข้าถึงแนวคิดดังกล่าว แล้วนำมันมาปรับใช้อย่างจริงจัง

ถ้าจะพูดอย่างสั้นๆ แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงน่าจะประกอบด้วย

1) กระทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยการรู้จักประมาณตน
2) กระทำทุกอย่างภายใต้ความมีเหตุมีผล ไม่ใช่เอะอะก็เฮโลทำไปตามกระแสขาดขาดหลักการสนับสนุน
3) สุดท้ายต้องตั้งอยู่บนความไม่ประมาท ต้องมีสติ สร้างภูมิคุ้มกันต่อสิ่งรอบข้าง ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

เห็นได้ว่าแนวคิดดังกล่าวสอดคล้องกับสิ่งที่เรียกว่า “ทางสายกลาง” อย่างยิ่ง กล่าวคือ จะทำอะไรต้องรู้จักประมาณตน ต้องมีเหตุมีผลและมีสติ

แน่นอนว่าลักษณะความมีเหตุผลภายใต้แนวคิดดังกล่าวมิใช่ความมีเหตุผลภายใต้ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่ economic agent เป็นสัตว์เศรษฐกิจ (homoeconomicus) ที่มีเหตุผล (rational) และต่างต้องการแสวงหาผลประโยชน์สูงสุดให้แก่ตัวเอง หากแต่เป็นความมีเหตุผลในแง่มุมที่เลยขอบเขตมิติทางด้านเศรษฐกิจไปสู่มิติทางด้านสิ่งแวดล้อมและจริยธรรมด้วย

เศรษฐกิจพอเพียงสอนให้เรารู้จัก “พอ” แต่ไม่ได้สอนให้เรากลับไปอยู่ป่า หากแต่สอนให้เรารู้เท่าทันตนและคนอื่น ไม่หลงกระแสความโลภทั้งที่อยู่ในตัวเราและที่ถูกปลุกปั่นโดยการตลาดสมัยใหม่ เพราะระบบทุนนิยมเป็นระบบที่อยู่ได้เพราะการปลุกปลั่นการบริโภค ดังนั้นแล้วจึงไม่น่าแปลกใจที่ชีวิตเราจะถูกสื่อโฆษณา (และไม่ใช่โฆษณาแต่ก็ส่งผล) ต่างๆทะลุแยง แซงเข้ามาในจิตใจเรา ดังนั้นคุณูปการของเศรษฐกิจพอเพียงก็คือการที่ให้เรารู้จัก “พอเพียง" ในการ “บริโภค” ไม่หลงมัวเมากับกระแสบริโภคนิยมอย่างไม่ลืมหูลืมตา

เศรษฐกิจพอเพียงสอนให้เรารู้จัก “พอ” แต่ไม่ได้สอนให้เราอดตาย หากสอนให้เราประกอบสัมมาอาชีพ ไม่คดโกง ไม่ทุจริต ไม่คอรัปชั่น ทำงานด้วยใจรัก ด้วยฉันทะ และด้วยความประมาณตน สอนให้เราอยากเท่ากับที่เราพอจะหาได้ อยู่อย่างสัมมาพาควรตามบริบทสังคมที่เราดำรงอยู่ สอนให้เรา "พอเพียง" ในแง่การใช้ชีวิตให้เรามีความสุขไปตามอัตภาพ

เศรษฐกิจพอเพียงสอนให้เรารู้จัก “พอ” แต่ไม่ได้สอนให้เราเลิกผลิตสินค้า หากสอนให้เราทำธุรกิจด้วยความชอบธรรม นายจ้างไม่เอาเปรียบลูกจ้าง ลูกจ้างมีความสัตย์ซื่อให้นายจ้าง ทำธุรกิจ ทำการผลิตโดยคำนึงถึงสังคม คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม คำนึงถึงศักยภาพของตน ทำการค้าด้วยความพอประมาณ ไม่ใช่มี 1 ส่วนกู้ 10 ส่วน ทำธุรกิจหวังแต่ได้ จับเสือมือเปล่า แน่นอนว่าการทำธุรกิจย่อมต้องการผลกำไร แต่ต้องรู้จัก "พอเพียง" กับกำไรที่ได้มา แสวงหากำไรด้วยความชอบธรรมไม่ได้มาจากการเหยียบย่ำซ้ำเติมใคร และไม่ว่าใครจะเถียงผมหรือไม่ก็ตาม ผมเชื่อว่าการขูดรีดและโลกทุนนิยมเป็นสิ่งที่คู่กัน ไม่ว่าจะเป็นการที่มนุษย์ขูดรีดกันเอง หรือมนุษย์ไปขูดรีดธรรมชาติ ดังนั้นภายใต้ความสัมพันธ์อันขัดแย้งดังกล่าว แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงจึงเปรียบเสมือนเป็นทางสายกลางอันจะนำให้ มนุษย์อยู่ร่วมกันเองและกับธรรมชาติได้อย่างผาสุกขึ้น

แต่สิ่งที่ผมเห็นก็คือคำว่าเศรษฐกิจพอเพียงกลับกลายเป็นเพียงแค่คำๆหนึ่งที่เหมือนกับเป็น “แฟชั่น” ใครๆต่างก็ใช้กัน (โดยเฉพาะหน่วยงานของรัฐ) ทั้งๆที่สุดท้ายแล้ว (ในสายตาผม) มันไม่เห็นจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรทีเป็นรูปธรรม คำว่าเศรษฐกิจพอเพียงกลายเป็นคำๆหนึ่ง ที่ใช้ “ปกปิด” ซ่อนเร้นความสัมพันธ์แบบทุนนิยม การขูดรีดกันเองและการขูดรีดธรรมชาติยังคงดำเนินต่อไป ตามปรกติวิสัยของมัน.........

เศรษฐกิจพอเพียงกับระบบทุนดูจะเป็นอะไรที่มีความขัดแย้งกันพอสมควร ส่วนตัวผมเองเชื่อว่าลักษณะความสัมพันธ์แบบทุนนิยมคงเป็นสิ่งที่จะคงอยู่อีกยาวนาน แต่แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงนี่แหละถ้าหากเราปฏิบัติอย่างเป็นจริงจัง มันจะกลายมาเป็นกลจักรสำคัญที่ทำให้เราอยู่ภายใต้ความสัมพันธ์ดังกล่าวอย่างมีสุขขึ้น และรู้เท่าทันพิษภัยของมัน ไม่หลงไปตามกระแสทุนที่พากันไหลทะลักล้นไปทั่วทุกอณูสังคม

ผมคงไม่เก่งพอที่จะสร้างแนวทฤษฎีใหม่ที่จะให้คำตอบว่าเราจะต้องนำแนวคิดดังกล่าวมาใช้อย่างไรจึงจะลุล่วงตามเป้าหมายของมัน แต่ผมเชื่อว่า ผมของแนวคิดดังกล่าวมันจะเป็นรูปเป็นร่างได้ถ้าเราช่วยกันทำตัวอย่าง “พอเพียง” ซึ่งแน่นอนว่าเราแต่ละคนย่อม “พอ” ไม่เท่ากัน แต่เราลองมา “พอ” เท่าที่เราจะทำได้กันดีไหมครับ???

และถ้าหากท่านใดอยากอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงจากมุมมองที่ลึกซึ้งกว่าที่ผมเสนอมาก็ขอเชิญเข้าไปอ่านใน
blog ของพี่เล็กได้เลยนะครับ ไม่เสียตังค์แถมได้หยักเพิ่มอีกต่างหาก (สงสัยวันหลังต้องคิดค่าคอมมิชชั่นแล้วม๊างง อิอิ)

ประเด็นของผมไมได้อยู่ที่การ discredit ใครทั้งสิ้น หากแต่ต้องการแสดงมุมมองในทัศนะของตนเอง เพราะผมเชื่อว่าเราทุกคนล้วนรักในหลวงทั้งนั้น แต่นอกเหนือจากความรักแล้วเราก็ควรตั้งคำถามก็การแสดงออกซึ่งความรักต่อท่านที่เรากำลังทำอยู่ด้วย

ดังเช่นในกรณีในของสายรัดข้อมือและเสื้อเหลืองนี่ก็เช่นกัน การแสดงออกความรักต่อท่านเป็นสิ่งที่ดีครับ แต่ลองคิดดูให้ดีซิว่า ท่านจะดีใจไหมถ้าเห็นคนมาแย่งกันเบียดซื้อเสื้อเหลือง บ้างก็ทะเลาะกันเป็นเรื่องเป็นราวเพื่อแย่งชิงเสื้อตัวเดียว ก่อให้เกิดความขัดแย้ง (แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องโทษกระทรวงพาณิชย์ด้วย ที่ไม่ได้เตรียมการอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราว เห็นภาพเหตุการณ์แล้วมันน่าหัวเราะทั้งน้ำตาจริงๆ) สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เราควรทำเช่นนั้นหรือ??

ถ้าจำไม่ผิดผมเคยนำเสนอเกี่ยวกับมุมมองแนวคิดในเรื่อง
การบริโภคเชิงสัญญะ (consumption of signs) เอาไว้แบบเกริ่นๆแล้ว ซึ่งจากปรากฏการณ์ดังกล่าวสิ่งที่เรามองเห็นก็คือเราต่างต้องการที่จะแสดงความรักต่อท่านผ่านตัวสินค้า (แม้ว่าบางคนอาจจะปฏิเสธ แต่เชื่อได้เลยว่าคนๆนั้นได้ตกอยู่ภายใต้ระบบสัญลักษณ์ดังกล่าวเสียแล้ว) “เสื้อ” และ “สายรัดข้อมือ” กลายเป็น “สัญญะ” ที่แสดงออกซึ่ง “ความรัก” "ความภักดี" "ความเคารพเทิดทูนบูชา" ฯลฯ ที่มีต่อในหลวง อย่างที่ผมเคยบอกแหละครับ ภายใต้ระบบทุน ถ้าอะไรที่มันเอามาเป็นสินค้าได้ ไม่ชาตินี้ก้อชาติหน้ามันไม่มีทางรอดพ้นแหงๆ

มุมมองของผมอาจจะฮาร์ดเกินไปสำหรับหลายๆคน เพราะเคยพูดเรื่องนี้กับเพื่อนทีนึง ถึงกับโดนด่าเสียจนหาทางกลับบ้านไม่ถูกเลย (โดนด่าแบบไม่มีโอกาสได้พูดเลย ฮ่าๆ)

ที่เขียนมาไม่ได้เป็นการว่าใครแบบเฉพาะเจาะจงนะครับ หากแต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า การที่คนไทย รักในหลวงอย่างสุดซึ้งนี่มันก็เป็นเรื่อง “จริง” และการที่เราต่างแสดงออกความรักที่มีต่อท่านผ่านทางสินค้า รวมถึงการที่สินค้าดังกล่าวมันแผงสัญญะบางสิ่งบางอย่างอยู่มันก็ “จริง” เหมือนกัน และคงไม่มีความจริงอะไรเหนือกว่าอะไร แต่ผมอยากจะพยายามมองและชี้แจงให้เห็นถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความเป็น “จริง” จากมุมมองของผมเอง (ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นจริงที่สุดก็ได้ เอ๊ะยังไงของมันวะ)

อย่างไรก็ตาม มันก็คงไม่ใช่เรื่องที่เราจะมาปฏิเสธปรากฏการณ์ดังกล่าว การที่เราต่างสร้างอัตลักษณ์และสื่อสัญลักษณ์ต่างๆ ผ่านทางสินค้าคงไม่ได้เป็นที่เหตุการณ์ผิดปกติแต่อย่างใด และผมกลับคิดว่ามันแสนจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาเสียเหลือเกินในโลกหลังสมัยใหม่ ดังนั้นหน้าที่ของเราจึงไม่ได้อยู่ที่การปฏิเสธมันอย่างยันป้าย หากแต่ต้องลงมาทำความเข้าใจปรากฏการณ์ดังกล่าวเพื่อตัวของพวกเราเอง

ดังนั้นถ้าหากเราพิจารณาตรงนี้อย่างถ้วนถี่ เราก็จะพบเลยว่าเราควรจะรักท่านอย่างไรให้ถูกทางครับ และเราก็คงไม่ได้ยินไม่ได้เห็นข่าวที่ไม่น่าดูน่าฟังเหล่านั้น

การแสดงออกซึ่งความรักที่มีต่อท่าน ไม่ว่าจะเป็นด้านใดๆ ย่อมเป็นสิ่งที่ดีครับ แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าเรารักท่านอย่างมีสติและพยายามมองซิว่าสิ่งที่ท่านทิ้งไว้ให้เราคืออะไร และอะไรคือสิ่งที่เราควรจะปฏิบัติตามเพื่อแสดงความรักและสนองพระมหากรุณาธิคุณที่ท่านมีต่อพวกเรา

สุดท้ายแล้วผมคงไม่มีอะไรมากไปกว่าการขอให้รักท่านอย่างมีสติเถิดครับ อย่ารักแบบตามกระแส รักท่านด้วยการกระทำตามแนวคิดของท่านเถิดครับ ผมเองคงไม่มีสิทธิ์และคงมิอาจเอื้อมที่จะไปคิดแทนท่าน แต่ผมเชื่อว่าถ้าหากว่าเราแสดงออกซึ่งความรักท่านโดยนำแนวคิดของท่านไปปฏิบัติไปเป็นหลักยึดในจิตใจ ท่านคงจะยินดีกับเราด้วยอย่างแน่นอน

และขอให้มีความสุขกับเทศกาลบอลโลกครับ (เกี่ยวมั๊ยเนี่ย??)

36 comments:

Anonymous said...

เขียนได้ดีนะครับ ชอบๆ
ปล. อิตาลี สู้สู้!!!

Anonymous said...

นั้นซิ เคยคิดว่า จบจากปีนี้แล้ว จะลืมคำว่า พอเพียงกันไหม คงต้องรอให้ปีเทศไทยเจ็บตัวอีก ถึงจะกลับมานึกถึงอีกที

Gelgloog said...

เออ อาเฮีย ยังไงกูก้อไม่เชียร์ทีมมึงแน่นอนหวะ คืนนี้ เลี่ยน ปะทะ ออส พลาดไม่ได้จิงๆ

ไอ้คัส เอ๋ย ที่เอ็งพูดมานี่ก็ถูกนะ คนไทยลืมง่ายครับ ต้องโดนอีกทีถึงจะนึกออก

ที่เขียนมาก้อไม่ได้จะไปว่าคนที่อยากได้เสื้อ หรืออยากได้สายรัดข้อมือ หรืออยากได้รูปภาพเครื่องประดับที่เป็นสัญลักษณ์ของท่านหรอกนะ แต่อยากให้ลองคิดด้วยว่า นอกจากสิ่งเหล่านั้นแล้ว เราหลงลืมอะไรไปหรือเปล่า?

Anonymous said...

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ...

ไม่ได้แวะมาตั้งนานแหน่ะครับ สบายดีหรือเปล่าครับผม ...
รักษาสุขภาพด้วยนะครับ

Anonymous said...

นี่ใส่อยู่ทั้งเสื้อเหลืองและสายรัด (แม่ซื้อให้น่ะ)

แต่ถ้าศึกษาเรื่องจำพวก Post-Structuralism Post-Modernism มากๆแล้วจะรู้ว่ามันสามารถแปรสภาพเราให้เป้น "คนเหงาในเมืองใหญ่" ได้นะเฟร้ย เพราะเราจะไม่เชื่อ ไม่ศรัทธา ไม่รักอะไรเลย "มนุษย์ถูกสาปให้มีเสรีภาพ" (เอามาโยงได้ไงฟระ)

ที่พูดนี่คือจะบอกว่า ถึงจะรู้สึกว่าการบริโภคสัญญะมันเปิดโอกาสให้นายทุนหากำไรจากความศรัทธาของคนยังไง ความเข้าใจแบบนี้ก็ยังไม่ทำให้เลิกศรัทธาในหลวงเลย

Gelgloog said...

สบายดีคร้าบพี่ริว แวะเข้าไปเยี่ยม blog พี่ก้อไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวอะไรเลยแฮะ อิอิ สงสัยงานยุ่ง

ส่วนที่จันทรมาณพเสนอมาก้อน่าสนใจอยู่ แต่ที่เขียนไม่มีอะไรมากหรอก แค่อยากให้เรามีสติกันหน่อยก็เท่านั้นแหละ และเรื่องสัญญะอะไรนี่มันก็ก้าวมาไกลเกินกว่าจะถอยกลับหรือปฏิเสธมันแล้ว ทางออกหรอ? คงไม่มี ทำได้ก็คือเราต้องอยู่กับมันให้ได้ ต้องเท่าทันมัน

ทรงพระเจริญ....

Anonymous said...

ง่วงสุดๆๆไว้จะมาอ่านวันหลัง

Anonymous said...

เห็นด้วยว่ะ ....

ปล แต่ช่วงหลังๆนี่ ยิ่งเขียนเนื้อความยิ่งเยอะนะ ตาลาย

ณัฐ

crazycloud said...

ใครๆ ไคลๆ ก็รักในหลวง

ใครรักในหลวง ก็ใส่เสื้อเหลือง

ไคลรักในหลวงก็ใส่เสื้อเหลือง

จุดไคลแมกซ์ ขณะพระองค์ โบกมือ

สิ่งที่ขัดไคลที่สุด คือ เสียง ไคล ที่เป็นขี้ไคล กล่าวนำใส่ไมค์ว่า ทรงพระเจริญ

เห็นมะ ไคล ก็รักในหลวงได้ โดยไม่ต้องเข้าใจความเป็นในหลวงสักกะนิด

Gelgloog said...

หมวยเอ้ยย ง่วงมากก้อนอนก่อนเหอะ ไม่น่าทรมานตัวเองเข้ามา blog นี้เล้ย 55

ไอ้ณัฐนี่กูก็พยายามจะเขียนสั้นๆแล้วนะเฟร้ย ทนตาลายหน่อยละกัน

โอ้ คุณเมฆา ว่างมาโพสต์ด้วย สงสัยรับน้องสยองขวัญเสร็จแล้วมั๊งเนี่ย เหอ เหอ

Anonymous said...

คนนี้ก็อู้ซะ ...

มา up ได้แล้วครับผม

Anonymous said...

Greets to the webmaster of this wonderful site! Keep up the good work. Thanks.
»

Anonymous said...

Really amazing! Useful information. All the best.
»

Anonymous said...

Looking for information and found it at this great site... Zyrtec dutchtown missouri allegra Special effect contact lens 2 acuvue Dg 2b panasonic 2b digital camera 2b review

Anonymous said...

best regards, nice info Cordless phone answering machine antidepressant use Backpacks back Burton snowboards roller pack backpacks

Anonymous said...

เห็นด้วยค่ะ ยิ่งตอนนี้รู้สึกว่ามีคนที่คิดกอบโกยผลประโยชน์จากความจงรักภักดีที่คนไทยมีต่อองค์ในหลวงท่าน ผลิตสินค้ามาจำหน่ายแล้วบอกว่าจะนำรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายแล้วถวายต่อองค์ในหลวง แต่ในความเป็นจริงท่านทั้งหลายที่กล่าวมานั้น ก็ได้บวกกำไร ในสินค้าที่ท่านจัดจำหน่ายแล้ว ซึ่งได้เห็นสินค้าตัวใหม่ที่กำลังจะวางจำหน่าย(เพื่อนๆจะได้เห็นการโฆษณาในอีกไม่นานนี้แน่ๆ ป้ายเลขที่บ้านที่บอกว่าบ้านนี้รักในหลวงอะไรนี่แหล่ะ) เห็นราคาแล้วก็รู้สึกว่าค้ากำไรเกินควรไปหรือเปล่า ในบางอย่างเราก็ไม่รู้สึกว่า มันจะได้ใช้ประโยชน์อะไรได้เลย ถามท่านคำหนึ่งว่าที่ท่านทำกันเช่นนี้เป็นการถวายความจงรักภักดีหรือเป็นการหาผลประโยชน์กันแน่

Anonymous said...

สุดแผ่นดิน แผ่นฟ้ามหาสมุทร
ได้น้อมเกล้าฯกราบ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
ขอน้อมเกล้า น้อมกระหม่อม
ถวายความจงรัก และภักดีตลอดกาล

Anonymous said...

สุดแผ่นดิน แผ่นฟ้ามหาสมุทร
ได้น้อมเกล้าฯกราบ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
ขอน้อมเกล้า น้อมกระหม่อม
ถวายความจงรัก และภักดีตลอดกาล

trustme said...

เรารักในหลวง ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญ

Unknown said...

จากกาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา ได้พิสูจน์ ให้เป็นที่ประจักษ์แก่เราแล้ว่าจากบัดนั้นจนบัดนี้
“พระมหากษัตริย์ไทย” ได้ทรงยึดมั่นในพระบรมราชปณิธาน อย่างแน่วแน่และที่ยิ่งไปกว่านั้น ทุกพระองค์ในสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ทรงดำเนินตาม พระบรมราชปณิธานอันสูงส่งนั้นมาโดยตลอด
อันเป็นครรลองของการปกครองระบอบเสรีประชาธิปไตย
ที่มีองค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์พระประมุข
ความผูกพันระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์ถึงพสกนิกรไทยนั้น
มิใช่เป็นความผูกพันอย่างธรรมดาสามัญ
แต่เป็นความผูกพัน เฉกเช่น พ่อกับลูก เฉกเช่นฟ้ากับดิน
ที่ฟ้านั้น โอบดินไว้ ชั่วนิรันดร์
นับเป็นบุญอย่างยิ่งสำหรับเราที่ได้เกิดเป็นคนไทย
บนผืนแผ่นดินไทย ภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริยาธิราชเจ้า
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช”
ผู้ทรงทศพิธราชธรรมและจักรวรรดิวัตร
ที่ไม่มีกษัตริย์หรือผู้นำประเทศใด ๆ ในโลกนี้
จะทรงพระคุณอันประเสริฐเสมอด้วยพระองค์ท่าน
ทรงครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม
ทรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์
เสด็จดำเนินไปทุกถิ่นที่บนผืนแผ่นดินไทย
พระองค์ทรงงานหนัก ตรากตรำพระวรกาย
จนพระเสโทไหลชโลมผืนแผ่นดิน
เหมือนหยาดน้ำฝนที่หลั่งลงมาจากฟากฟ้า
สร้างความอุดมสมบูรณ์ให้เกิดขึ้นแก่ผืนแผ่นดินไทย
ทรงเสียสละความสุขและพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์อย่างมิอาจประมาณค่าได้
เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
เพราะทุกลมหายใจชองพระองค์มีแต่ความห่วงใยปวงอาณาประชาราษฎร์
รอยพระบาทที่ยาตรายาวรอบหล้าฟ้าสากล

ผมรักในหลวง

Pong said...

แนะ 82 วิธีทำความดีง่ายๆ ถวายในหลวง
________________________________________
เนื่องในโอกาสปีใหม่ 2552 ที่กำลังจะมาถึง อีกทั้งเป็นปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 82 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำเสนอ 82 วิธีทำดีต่อตนเอง ต่อสังคมรอบข้าง ตลอดจนประเทศชาติ มาให้ทุกคนได้ลองเลือกไปปฏิบัติตามความถนัดและความชอบ เพื่อนำมาซึ่งความสุขและความสมานฉันท์ของชาติและเพื่อถวายแด่ "ในหลวง" ที่รักยิ่งของเรา ดังต่อไปนี้
- ทำดีต่อตนเอง เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เราได้รู้สึกดีๆ และพร้อมที่จะแบ่งปันความสุขไปให้ผู้อื่น ได้แก่ 1. ตื่นขึ้นมาอย่างกระตือรือร้นทุกเช้า พร้อมยิ้มแย้มแจ่มใสรับวันใหม่ 2. ไหว้พระก่อนออกจากบ้านเพื่อเตือนสติและเพื่อสิริมงคลแก่ตน 3. สวัสดีคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ใหญ่ก่อนและหลังกลับจากโรงเรียนหรือที่ทำงานทุกครั้ง 4. ตั้งใจไม่โมโห หรือไม่โกรธใคร อย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 วัน 5. ไม่พาตัวไปยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทั้งปวง 6. อ่านหนังสือดีๆอย่างน้อยเดือนละครั้งเพื่อเสริมสร้างสติปัญญา และนำมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต 7. พูดคำว่า "ขอบคุณ" หรือ "ขอบใจ" ทุกครั้ง เมื่อผู้อื่นทำอะไรให้ เช่น ช่วยถือของ ให้บริการ 8. อย่าลืม "ขอโทษ" เมื่อทำผิดต่อผู้อื่นทั้งโดยตั้งใจ และไม่ตั้งใจ หรือเมื่อทำสิ่งใดผิดพลาด 9. มีหลักการ ยึดมั่นในคุณความดี และมีความเพียรพยายาม 10. ซื่อสัตย์ต่อตนเอง ด้วยการตั้งใจทำสิ่งใด ก็เพียรทำให้สำเร็จ ไม่เบี้ยวแม้แต่กับตนเอง
- ทำดีต่อครอบครัว ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเราที่สุด และมีผลต่อความสุขของสมาชิกทุกคน ได้แก่ 11. ลดการบ่นว่า ดุด่าคนในครอบครัวให้น้อยลง ไม่ว่าจะเป็นลูก สามี/ภริยา พี่น้อง เพื่อลดความเครียดในบ้านและทำให้ทุกคนรู้สึกบ้านน่าอยู่ไม่ร้อนหูร้อนใจ 12. พาสมาชิกในครอบครัวไปกินอาหารนอกบ้านหรือไปเที่ยวบ้างเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ 13. ช่วยกันลดรายจ่ายด้วยการไม่ซื้อของฟุ่มเฟือยหรือไม่จำเป็น เพื่อมิให้เป็นหนี้สินหรือเงินไม่พอใช้ 14. ไม่คิดจะมีกิ๊ก หรือเป็นชู้กับสามี/ภริยาผู้อื่น อันเป็นสาเหตุให้ครอบครัวเราและผู้อื่นเกิดความแตกแยก 15. พูดจาไพเราะ สุภาพกับสมาชิกในบ้าน ไม่ตะคอกด่าทอหรือจิกเรียกด้วยถ้อยคำหยาบคาย 16. มีสัมมาคารวะ และแสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่ในบ้านทั้งพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย หรือพี่ป้าน้าอา เพื่อเป็นแบบอย่างแก่ลูกหลาน 17. มีน้ำใจกับคนในบ้าน เช่น ช่วยพ่อแม่ล้างถ้วยชาม ช่วยภริยากวาดถูบ้าน ช่วยพาพ่อ/แม่ของสามีหรือภริยาไปหาหมอ ซื้อของใช้ให้สามี/ภริยา 18. ไม่เอาแต่ความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่ แต่รับฟังความคิดเห็นของสมาชิกในบ้าน เช่น ฟังสามี/ภริยา ฟังลูกว่าต้องการอะไรบ้างเพื่อให้เกิดความรัก ความเข้าใจซึ่งกันและกัน 19. พูดจาชมเชยและให้กำลังใจแก่สมาชิกในบ้าน เช่น ชมว่าแต่งตัวดี ทำกับข้าวอร่อย วาดภาพสวย เป็นต้น 20. พาครอบครัวไปทำบุญสร้างกุศลร่วมกันในโอกาสวันสำคัญต่างๆ เช่น วันเกิด วันวิสาขบูชา ฯลฯ เพื่อให้สมาชิกได้ใกล้ชิดกับพระศาสนา และได้เห็นแบบอย่างการทำดีอย่างเป็นรูปธรรม
- ทำดีต่อเพื่อนบ้าน ซึ่งอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกัน หากปลูกไมตรีต่อกันได้ ย่อมจะทำให้เราอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ดังนั้น จึงควรทำดีต่อกัน ดังนี้ 21. ยิ้มและทักทายเมื่อพบกัน 22. ช่วยดูแล สอดส่องบ้านให้เมื่อเพื่อนบ้านไม่อยู่ หรือไปต่างจังหวัด หรือช่วยแจ้งเหตุหากมีสิ่งใดผิดปกติ 23. ซื้อของขวัญหรือของฝากไปให้บ้างตามโอกาส เช่น วันปีใหม่ วันตรุษจีน หรือเมื่อกลับจากต่างถิ่น เพื่อเป็นการผูกมิตรหรือขอบคุณเขาที่ช่วยดูบ้านให้ 24. ไม่เลี้ยงสัตว์หรือปลูกต้นไม้ที่จะสร้างความเดือดร้อนรำคาญใจมาสู่เพื่อนบ้าน หรือเป็นมูลเหตุให้เกิดการทะเลาะกัน เช่น สัตว์ส่งเสียงดังรบกวน หรือใบไม้ร่วงไปรกบ้านเขา 25. ไม่จอดรถขวางทางเข้าบ้านของเขา หรือในที่ที่เขาจอดประจำ 26. ไม่พาสัตว์เลี้ยงเช่น หมา แมว ไปอึหรือฉี่หน้าบ้าน ต้นไม้ของเขา 27. ไม่เปิดวิทยุ โทรทัศน์ หรือคาราโอเกะเสียงดังจนรบกวนเขา โดยเฉพาะในวันหยุด 28. ไม่ซ้อมดนตรี /จัดงานหรือส่งเสียงเอะอะ โวยวายรบกวนเพื่อนบ้าน ควรจะจัดเวลาซ้อมที่ไม่เช้าหรือดึกเกินไป หรือไม่ก็ควรจะไปซ้อมที่อื่น และไม่ควรพาเพื่อนมาตั้งวงกินเหล้าส่งเสียงดัง หนวกหูชาวบ้านเขาทุกอาทิตย์ 29. ไม่กวาดขยะไปกองหรือทำสกปรกหน้าบ้านผู้อื่น ควรกวาดและเก็บใส่ถุงหรือถังขยะให้เรียบร้อย 30. ร่วมกิจกรรมสังสรรค์ที่จัดขึ้นในหมู่บ้านหรือชุมชนของเราเองบ้างตามโอกาสอันควร
- ดีต่อเพื่อนร่วมงาน ซึ่งจะทำให้การทำงานของเราราบรื่น เกิดความสามัคคี และมีผลต่อความเจริญก้าวหน้าของเราด้วย ได้แก่ 31. ยิ้มแย้มแจ่มใส รู้จักโอภาปราศรัยต่อเพื่อนร่วมงาน ไม่ทำเมิน หรือทำหน้าเฉยเมยไร้ชีวิตเมื่อเจอกัน 32. ช่วยแนะหรือสอนงานที่เรามีความชำนาญให้ 33. แสดงความยินดีหรือชมเชยเมื่อเขาประสบความสำเร็จหรือได้รับรางวัล 34. ซื้อของขวัญ ให้เงิน หรือการ์ดอวยพรในโอกาสต่างๆ เช่น วันเกิด วันแต่งงาน คลอดลูก 35. แสดงความเสียใจหรือปลอบใจเมื่อเขาประสบเหตุหรือโชคร้าย เช่น พ่อแม่ตาย ถูกขโมยขึ้นบ้าน 36. ช่วยเหลือ ตักเตือนหรือชี้แนะเมื่อเขาทำผิดพลาดด้วยความจริงใจ ไม่ซ้ำเติม 37. ไม่ขโมยผลงานของเขามาเสนอเป็นผลงานของเรา 38.ไม่ใส่ร้ายป้ายสี หรือยุยงให้เพื่อนร่วมงานแตกคอ หรือทะเลาะวิวาทกัน 39. แนะนำหนังสือ ร้านอาหาร วัด หรือสถานที่ดีๆแก่เพื่อนให้เขาได้ไปใช้บริการบ้าง 40. รู้จักอยู่ช่วยงานหรือร่วมกิจกรรมที่เพื่อนในหน่วยงานจัดขึ้น แม้จะมิใช่งานของเรา เพื่อจะได้รู้จักสนิทสนม และทำงานเข้าขากันได้มากขึ้น
- ดีต่อหน่วยงานหรือที่ทำงานของตน ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่ประกอบอาชีพ ทำให้เรามีกินมีใช้ เราจึงควรต้องกตัญญูรู้คุณ ด้วยการ 41. ซื่อสัตย์ต่อหน่วยงาน ไม่โกงเวลา โกงทรัพย์สินของหน่วยงาน 42. ไม่นินทาว่าร้าย หรือดูถูกหน่วยงานของเราเอง หากเราคิดว่าไม่ดี ก็ควรออกไปหางานอื่นทำ 43. ตั้งใจทำงานด้วยความขยันขันแข็ง ไม่เอาเปรียบผู้อื่น 44. เมื่อเห็นสิ่งใดไม่ดีในหน่วยงาน ต้องร่วมแรงร่วมใจกันแก้ไข ไม่ใช่ซ้ำเติมหรือเมินเฉย 45. ให้บริการหรือพูดจากับผู้มาติดต่อกับหน่วยงานให้สุภาพ ไพเราะเพื่อให้เกิดความประทับใจที่ดี 46. ใช้ทรัพยากรต่างๆของหน่วยงานอย่างประหยัด คุ้มค่าให้เหมือนสมบัติของเราเอง 47. ไม่ละเมิดกฎเกณฑ์ ทำลายระเบียบที่ดีจนหน่วยงานเละเทะ ยุ่งเหยิงเพราะต่างทำตามใจตนเองจนควบคุมไม่ได้ 48. รู้จักเสียสละเพื่อหน่วยงานบ้างบางโอกาส เช่น ทำงานโดยไม่เอาโอ.ทีหรือร่วมลงขันจัดกิจกรรมให้หน่วยงาน 49. ช่วยกันสร้างภาพลักษณ์และชื่อเสียงที่ดีให้หน่วยงาน เช่น แข่งกีฬาชนะเลิศ จัดทำโครงการดีๆเพื่อสังคม 50. ต้องมีความภาคภูมิใจในหน่วยงานของตน

- ดีต่อสังคม ซึ่งมีเราเป็นหน่วยหนึ่ง ก็จะทำให้สภาพแวดล้อมรอบๆตัวเราน่าอยู่ยิ่งขึ้น เพราะจะเต็มไปด้วยความเอื้ออาทร และความมีไมตรีจิตต่อกัน ด้วยการ 51. ส่งของกิน ของใช้ หรือเงินไปบริจาคมูลนิธิต่างๆเมื่อถึงวันเกิด หรือวันสำคัญอื่นๆของตน 52. ทำหนังสือชมเชยไปยังบุคคล หรือหน่วยงานที่ให้บริการที่ดีเพื่อเป็นกำลังใจ และเป็นแบบอย่างแก่ผู้อื่น เช่นเขียนไปชมกระเป๋ารถเมล์ที่พูดจาดี ช่วยพยุงคนแก่ขึ้นรถ 53. ช่วยกันรักษาความสะอาดและถนอมใช้สมบัติสาธารณะให้มีอายุยืนนาน เช่น ไม่ขีดเขียนในห้องน้ำสาธารณะ ไม่ทิ้งขยะ/ถ่มน้ำลายบนถนนหนทางหรือในแม่น้ำลำคลอง 54. ช่วยกดลิฟท์ให้กับผู้ร่วมทาง หรือช่วยถือของหนักให้กับคนบนรถเมล์ 55. ไม่แซงคิวใดๆที่เขากำลังเข้าแถวรอรับบริการ เช่น ซื้อตั๋วหนัง หรือเข้าส้วม 56. นำหนังสือดีๆ หรือหนังสือธรรมะ ไปบริจาคตามโรงพยาบาลรัฐ เช่น ห้องรอรับการรักษา ห้องพักผู้ป่วย ห้องพยาบาล เป็นต้น เพื่อเป็นการแนะวิธีปฏิบัติตน และช่วยปลุกปลอบใจ 57. ขับรถตามกฎจราจร มีน้ำใจให้กับรถคันอื่น ไม่แซงซ้ายป่ายขวา และจอดรถให้คนข้ามถนนบ้าง 58. อ่านหนังสือธรรมะ หรือหนังสือดีๆใส่เทป ซีดี ส่งไปให้คนตาบอดฟัง 59. รับเป็นพ่อแม่อุปถัมภ์ให้เด็กที่ด้อยโอกาสได้เรียนหนังสือ 60. ให้ความช่วยเหลือ/แนะนำแก่ผู้อื่นในสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคยหรือไม่เคยทำ เช่น แนะวิธีคาดเข็มขัดบนเครื่องบิน แนะวิธีใช้อุปกรณ์ออกกำลังกายในฟิตเนส
- ดีต่อศาสนา อันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และทำให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข เราจึงควรสืบทอดศาสนาให้ยั่งยืนต่อไปยังลูกหลานของเราด้วยการ 61. ศึกษาหลักธรรมในศาสนาของเราให้รู้จริง 62. ปฏิบัติตามธรรมะที่ศาสดาสอนไว้ 63. ช่วยเหลือแนะนำผู้อื่นให้ปฏิบัติให้ถูกต้อง 64. ไม่ดูหมิ่นเหยียดหยามศาสนาอื่น อันเป็นเหตุให้เกิดความแตกแยก 65. ทำบุญตามหลักศาสนาของตนอย่างน้อยเดือนละครั้ง 66. สั่งสอนและปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีกับอนุชนรุ่นหลัง 67. ไม่ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือทำลายผู้อื่น 68. ไม่ใช้ศาสนาไปหลอกลวงให้ผู้อื่นหลงเชื่อในทางที่ผิด 69. หากเป็นพระ นักบวชต้องทำตนเป็นแบบอย่างและแนะแนวทางดำเนินชีวิตที่ถูกที่ควรแก่ ศาสนิกชน 70. เชื่อมั่น และตั้งใจที่จะช่วยสืบทอดศาสนาทุกวิถีทางที่ดีและถูกต้อง
- ดีต่อชาติบ้านเมือง ซึ่งเป็นแผ่นดินถิ่นเกิดหรือให้เราได้อยู่อาศัย เราจึงควรตอบแทนด้วยการ 71. ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเต็มความสามารถไม่ว่าจะอยู่ในฐานะหรือตำแหน่งใด 72. ไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่หาผลประโยชน์ใส่ตัวหรือพวกพ้อง และไม่คิดคอรัปชั่นหรือคดโกงด้วยวิธีการใดๆ 73. ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต มีจรรยาบรรณต่อวิชาชีพของตน 74. ช่วยปกป้องหรือรักษาผลประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองเมื่อมีโอกาส 75. ไม่เมินเฉยหรือละเลยให้ผู้อื่นมาฉกฉวยผลประโยชน์จากชาติบ้านเมืองของเรา 76. ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี 77. สอนลูกหลานให้รักและภาคภูมิใจในชาติของเรา 78. ตั้งใจศึกษาหาความรู้ และนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาชาติบ้านเมืองอย่างเต็มที่ 79. มีความรักความสามัคคีต่อกันในทุกระดับ80.ไม่โกงกินในหน้าที่การงาน81.ไม่ขายชาติ 82. ช่วยกันรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุขของประเทศ
ทั้งหมดคือตัวอย่างการ "ทำความดี" อันหลากหลายที่ทุกคนสามารถนำไปปฏิบัติได้ แม้บางข้อดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่อย่าลืมว่าหากเราทุกคนตั้งใจทำ ความดีเล็กๆเหล่านี้ก็สามารถรวมเป็น "พลังอันยิ่งใหญ่" ที่ทำให้ทุกคนเป็นสุข เพราะไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน และมีผลทำให้ชาติบ้านเมืองร่มเย็นได้ และน่าจะเป็นสิ่งที่ "ในหลวง" ของเรา คงทรงยินดีที่ราษฎรของพระองค์สร้างความดีแก่ตัวและผู้อื่นมากกว่าการสร้างถาวรวัตถุใดๆถวายพระองค์ท่านอย่างแน่นอน
________________________________________

Unknown said...

>>> เรื่องเล่าจากในวัง....แล้วคุณจะรัก "ในหลวง"
==================================
>>> ผมมีเรื่องที่จะเล่าให้ฟังอยู่เหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นเรื่องจริงเหตุการณ์เกิดที่จังหวัดตากเมื่อพระเทพทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฏรตามที่ต่างๆได้ทรงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนในตลาดสดและถามความเป็นอยู่กับบรรดาแม่ค้าในตลาด แต่ก็มาถึงแม่ค้าปลาซึ่ง
พระองค์ทรงตรัสถามว่า : ปลาพวกนี้ขายอย่างไงจ๊ะ
แม่ค้าตอบว่า : ที่สวรรคตแล้ว กิโลละ 40 บาท
และที่เสด็จไปเสด็จมากิโลละ 80 บาทจ๊ะ"
เหตุการณ์นี้ ทำให้ข้าราชบริพาลที่ตามเสด็จหัวเราะกันทุกคน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
>>>เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า นางสนองพระโอษฐ์ของฟ้าหญิงองค์เล็ก
ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย ขอพูดสายกับฟ้าหญิง ทางนางสนองพระโอษฐ์ ก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วยก็มีเสียงตอบกลับมาว่า คนที่แบงค์ นางสนองพระโอฐก็ งง...งง ว่าคนที่แบงค์ทำไมโทรมาแต่เช้า แบงค์ก็ยังไม่เปิดนี่หว่า แต่ พอฟ้าหญิงรับโทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า คนที่แบงค์น่ะ ก็ที่แบงค์จริงๆนะ ไม่เชื่อเปิดกระเป๋าตังค์ แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ ... ขนลุกเลย (ทรงตัสกับในหลวงท่านอยู่นั่นเอง)
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
>>> อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสานเมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่งที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูลที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน
>>> เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้ จึงมีคำกราบทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่าบัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวนพระพุทธเจ้าข้า.."
มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว.
พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า : "มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว" เรื่องนี้ ดร.สุเมธ เล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้ในหลวง
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาตนำพระบรมฉายาลักษณ์ของท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า: ไปบอกเค้านะเราไม่ใช่มิกกี้เมาส์"
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
>>>>>เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวง ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน
>>>ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนมีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงานว่า "ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าพลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ" เมื่อสิ้นคำกราบบังคมทูลชื่อในหลวงทรงแย้มพระสรวลอย่างมีพระอารมณ์ดี และไม่ถือสาว่า"เออ ดี เราชื่อเดียวกัน..."
ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัย เพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
>>> มีอยู่ครั้งหนึ่งทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย ทรงโปรดสูบมวนพระโอสถแต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูลว่า "ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า" ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆ กับอธิการบดีว่า
"เรายังไม่ตายถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก" 5555555
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
>>> เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่าในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว
แต่ราษฎรผู้หนึ่งกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า "ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์" ในหลวงทรงตรัสว่า "ขอเดชะ พระหมดแล้ว"
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
>>> วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมายพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระบาท ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาท แล้วก็เอามือของแกมาจับ พระหัตถ์ของในหลวง แล้วก็พูดว่า ยายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง แล้วก็พูดว่า ยายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ อีกตั้งมากมายแต่ในหลวงก็ทรงเฉยๆ มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร แต่พวกข้าราชบริภารก็มองหน้ากันใหญ่ กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัย หรือไม่ แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิงชราคนนั้น ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว เพราะพระองค์ทรงตรัสว่า "เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ ต้องเรียกน้าซิถึงจะถูก"
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
>>> ครั้งหนึ่งหลายๆ ปีมาแล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวีมีพระอาการคัน มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางราชาศัพท์
ก็กราบบังคมทูลว่า "เอ้อ -ทรง...อ้า-ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ"
พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า "ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่จะท้องได้ยังไง"
แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่า "หมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า เอ้าพูดภาษาอังกฤษกันเถอะ"
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
>>> เรื่องนี้รุ่นพี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟังว่า มีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร อธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้วบังเอิญว่า มีเหตุขัดข้องบางประการ ทำให้อ่านขาดตอน ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว ปรากฏว่าในหลวงท่านทรงจำได้ ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่า "เมื่อกี้นี้ (ชื่อ....) เค้ารับไปแล้ว" และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆ ไฟดับไปชั่วขณะ...
ทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป พอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาทท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทานอีกครั้งเพื่อจะได้มีรูปไว้เป็นที่ระลึก ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

>>> ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

Unknown said...

ประเทศไทยเรามีความเป็นเอกราชมาถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะเรามี สถาบันพระมหากษัตริย์ที่คอยปกป้องชาติไทยเรา ให้พ้นจากภยันตรายทั้งปวง เราคนไทยต้องเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้เหนือสิ่งอื่นใดนะครับ การที่เราเคารพพระมหากษัตริย์ไม่ใช่ว่ารัฐธรรมนูญกำหนดไว้ แต่เคารพด้วยพระราชจริยวัตร พระเมตตาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์มีต่อปวงชนชาวไทย ซึ่งที่ผ่านมาการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะปฏิวัติไม่ได้ออกรัฐธรรมนูญเอง แต่ได้ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญจาก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ดังนั้น รัฐธรรมนูญฉบับแรกจึงถูกตราด้วยพระมหากษัตริย์ เป็นผู้ทรงลงพระปรมาภิไธย ซึ่งถือว่าเป็นการพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ปวงชนชาวไทย "แต่เมื่อถามว่า พระองค์ทรงตัดภาระอันเนื่องมาจากการเมืองได้หรือไม่ คำตอบคือ ทุกครั้งที่มีวิกฤติทางการเมือง ทุกคนก็จ้องมองไปที่พระมหากษัตริย์ หวังว่าจะทรงแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ ซึ่งปัจจุบันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงยึดมั่นอยู่ในรัฐธรรมนูญตลอด คงความเป็นกลางทางการเมือง และทรงยึดถืออย่างแน่นแฟ้น กิจกรรมใดที่เกี่ยวข้องกับทางการเมือง ในยามที่พระองค์จะทรงมีพระราชดำริ ได้ทรงระมัดระวังอย่างยิ่ง

Anonymous said...

ธ ทรงดั่งเทพไท้ จอมราชา
ธ ดั่งชลไหลมา ดับทุกข์
มนุษย์ล้วนเทวา ชูเชิด
ประชาไทยเกษมสุข ทั่วหล้าสดุดี
........ทรงพระเจริญ.........

Anonymous said...

“เพียงพอ” “พออยู่พอกิน” ทำให้คนไทยทุกคนได้รู้จักยืนอยู่ได้ด้วยตนเองด้วยความพอดีโดยตั้งอยู่บนความไม่ประมาท ดังปราชญ์ท่านกล่าวไว้ว่า “สูงนักมักจะลิ่วไปตามลม ต่ำนักมักจะจมลงบาดาล”

Anonymous said...

การประหยัดและการทุ่นแรง ต้องคำนึงถึงสิ่งอื่นอันเป็นพื้นฐาน ควรพยายามใช้ให้พอเหมาะพอดีแก่สภาวะของบ้านเมือง เกิดการประหยัดอย่างแท้จริง แสดงให้คนไทยทั้งหลายได้ประจักษ์ชัด และตระหนักแน่ในพระปรีชาสามารถที่เฉียบแหลม พระสติปัญญาสุขุม พระบรมราชวินิจฉัยรอบคอบ และอุดมด้วยเหตุผลข้อเท็จจริง
นำประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองสืบไป

นานา said...

พระมหากษัตริย์ไทย พระองค์ท่านทรงทุ่มเทพระวรกาย และพระราชหฤทัย ท่านอุทิศพระองค์ เพื่อความอยู่ดีมีสุข ของราษฎรทั่วประเทศ ดังนั้นเราเป็นลูกหลานคนไทย จงสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ด้วยการทำดี ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์

นานา said...

สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย คือศูนย์รวมน้ำใจไทยทั้งชาติ คนไทยเรามีความผูกพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่อดีตกาล หากไทยไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์คนไทยทั้งชาติมิอาจยอมได้

นานา said...

ตลอด ๖๐ ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลา ๖๐ ปีที่พระองค์ทรงงานอย่างไม่เคยว่างเว้น และทรงประกอบพระราชกรณียกิจที่ถึงพร้อมทั้งความบริสุทธิ์บริบูรณ์ ตลอด ๖๐ ปีที่ผ่านมาจึงเป็นช่วงเวลา ๖๐ ปีที่พสกนิกรชาวไทยอยู่ได้อย่างร่มเย็น พวกเราคนไทยควรเทิดทูนพระองค์ท่านตลอดกาล

นานา said...

ที่ประเทศไทยก้าวหน้ามาพอสมควรได้จนถึงทุกวันนี้ เพราะเราต่างอยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารอันสงบร่มเย็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๙ ทรงเป็นพระราชาที่ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก พระองค์ทรงมองเห็นความเป็นไป ของบ้านเมืองนี้มายาวนานที่สุด พระองค์หนึ่งในแผ่นดิน เราควรยึดมั่นสถาบัน
พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์

Anonymous said...

ทรงเหนื่อยมาก เรายังอยากให้พระองค์เหนื่อยอีกเหรอ ให้พระองค์ทรงพักบ้าง หันมารักใคร่สามัคคีกันดีกว่า

helenn said...

ขอให้ทุกคนรัก และสามารถคีกันเยอะ ๆ
เพื่อ ในหลวง ของเรา จะได้สบายพระทัย

Anonymous said...

เรารักในหลวง ... ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

Anonymous said...

ที่ประเทศไทยก้าวหน้ามาพอสมควรได้จนถึงทุกวันนี้ เพราะเราต่างอยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารอันสงบร่มเย็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๙ ทรงเป็นพระราชาที่ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก พระองค์ทรงมองเห็นความเป็นไป ของบ้านเมืองนี้มายาวนานที่สุด พระองค์หนึ่งในแผ่นดิน เราควรยึดมั่นสถาบัน
พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์

Anonymous said...

ทรงเหนื่อยมาก เรายังอยากให้พระองค์เหนื่อยอีกเหรอ ให้พระองค์ทรงพักบ้าง หันมารักใคร่สามัคคีกันดีกว่า

Anonymous said...

เราเป็นไทยมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็ด้วยพระบารมีของพ่อหลวง