Saturday, May 27, 2006

สัพเพเหระเรื่องการ์ตูน



วันนี้มาคุยเรื่องเบาๆกันบ้างดีกว่า

คิดว่าหลายๆท่านเองที่แวะเวียนเข้ามาใน blog นี้คงเคยอ่านหรือเคยชมการ์ตูนไม่มากก็น้อย สำหรับตัวผมเองพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่าชีวิตผูกพันกับการ์ตูนมาก กล่าวคือจำความได้ต๊อกแต๊กๆ ก็เริ่มอ่านเริ่มดูการ์ตูนแล้วมั๊ง หรือไม่ตอนเช้าๆก็ต้องรีบตื่นมาเปิดช่องเก้าการ์ตูน เป็นรายการเดียวจริงๆ ที่ทำให้เด็กอย่างเราตื่นเช้าได้

ยังไม่จบแค่นั้น ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับการ์ตูนยิ่งแนบแน่น แนบสนิทขึ้นเรื่อยๆ สมัยเด็กๆนี่ต้องถึงกับเก็บเงินค่าขนมไว้ซื้อการ์ตูนรายสัปดาห์ คิดไปคิดมาก็นะ โดนมอมเมาด้วยการ์ตูนทั้งแต่เด็กเลยแฮะ ฮ่าๆ

สำหรับคนยุครุ่นๆผมแล้ว น่าจะบแบ่งการ์ตูนออกได้เป็นสองช่วงใหญ่ๆนะ ช่วงแรกก็น่าจะเป็นช่วงที่การ์ตูนไม่มีลิขสิทธิ์เบ่งบาน คงประมาณตอนผมอยู่ประถมล่ะมัง จะมีการ์ตูนรายสัปดาห์จำพวก The Talent, Animate หรือ NOVA ออกมาเขย่ากระเป๋าเงินได้ทุกอาทิตย์ จำได้ว่าตอนไปเรียนพิเศษสมัยเด็กๆนี่ผมยืนรอหน้าร้านเลยนะ การ์ตูนรวมเล่มนี่มาแบบฮาร์ดมากโดยเฉพาะพวกหมึกจีนนี่ไม่ต้องสืบ อ่านให้ตายกันไปข้างเลยครับ แต่ละเล่มนี่หนาโคตรๆ

แต่ไม่ใช่ว่าในยุคนั้นการ์ตูนลิขสิทธิ์จะไม่มีนะครับ เรายังสามารถเห็นพวก Viva Friday หรือการ์ตูนปกสองชั้นที่เป็นลิขสิทธิ์ของวิบูลย์กิจอยู่ประปราย ผมว่าบ้านเมืองเรายังไม่บ้านป่าเมืองเถื่อนขนาดนั้น เพียงแต่การ์ตูนไร้ลิขสิทธิ์นี่มันทำมาค้าคล่องจริงๆผับผ่าสิ

ต่อมาการ์ตูนจำพวกไม่มีลิขสิทธิ์เริ่มไร้ที่อยู่ บวกกับการอุบัติขึ้นของ BOOM กับ C-Kids ซึ่งไปกว้านซื้อพวกการ์ตูนเรื่องเจ๋งๆ กลั่นๆ มาทั้งนั้น ทั้งดรากอนบอลเอย กัปตันซึบาสะเอย โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ ลัคกี้แมน ฯลฯ เล่นเอาการ์ตูนไม่มีลิขสิทธิ์หมดแผ่นดินอยู่ไปโดยปริยาย แต่ก็ยังเห็นแซมๆมาบ้างนะครับ คงยากนะสำหรับเมืองไทยที่จะปราบพวกนี้ให้หมดไปร้อยเปอร์เซ็นต์

คราวนี้การ์ตูนไร้ลิขสิทธิ์นี่มาแนวใหม่เลยครับ ไปจับเอาการ์ตูนพวกติดเรทหน่อยๆ การ์ตูนสำหรับผู้ใหญ่มาทำขายกัน เล่นเอาคนอ่านวูบวาบหายใจไม่ทั่วท้องกันเลยทีเดียว แต่ก็มีประเภทที่โจ๊งครึ่มไปเลยก็มีนะ เล่นทำเอาตกใจเลยว่า เห้ย การ์ตูนญี่ปุ่นนี่มันมีแบบฮาร์ดๆ ขนาดนี้เลยหรอวะนั่น!! น่าเป็นห่วงเหมือนกันครับสำหรับบ้านเมืองเราที่กฎหมายเกี่ยวกับการควมคุมสื่อต่างๆยังไม่ค่อยแข็งแรงนัก น่ากลัวจะไปเจอเด็กอนุบาลเดินไปซื้อเข้าซักวัน คงฮาร์ดน่าดู

สำหรับผมก็มีพฤติกรรมการบริโภคการ์ตูนที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา สมัยเด็กๆ นี่ใช้เก็บหอมรอบริบซื้อเอาครับ สะสมจนล้นบ้าน ล้นทะลักเต็มไปหมด ใส่ลังแล้วลังเล่าก็ยังไม่หมด การ์ตูนรายสัปดาห์นี่ไม่ต้องบอกเลยฮะ ซื้อแม่งทุกสัปดาห์ไม่เคยเว้น จนกองเป็นตั้งๆเลย

แต่พอช่วงหลังตั้งเริ่มเข้ามหาวิทยาลัยพฤติกรรมผมเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดมากๆ กล่าวคือลดการซื้อการ์ตูนลงเยอะเลยทีเดียว สาเหตุแรกสำคัญก็อยู่ที่ราคาค่างวดการ์ตูนเล่มหนึ่งมันแพงเอาแพงเอา จากเล่มละ 25 บาทไปเล่มละ 30 บาทยังไม่พอตอนหลังยังขึ้นไปที่ 35 – 40 บาท ยิ่งตอนนี้การ์ตูนใหม่ๆเล่มละ 45 บาทก็มีนะเอ้อ ลองคิดเล่นๆ ถ้าจะวัด comics price index สงสัยตัวเลขคงออกมาโอ่อ่าน่าดู เอาเป็นว่า inflation มีเกิน 10 เปอร์เซ็นต์แหงมๆ (อันนี้คิดเล่นๆ ใครว่างๆ หรือสนใจจะลองหาข้อมูลมาคำนวณดูก็ตามสะดวกเลยนะครับ ผมสนับสนุนเต็มที่เลย เพราะก็อยากรู้เหมือนกัน คิดว่าลำพังมองตัวเลขแค่นี้คงจะหยาบไป) เพราะหนังสือการ์ตูนนี่ขึ้นทีละ 5 บาทครับ ต่ำกว่านี้ไม่ต้องพูดถึง เหอ เหอ

ราคาการ์ตูนแพงขึ้นทุกวันๆ แต่ purchasing power นี่ย่ำต๊อกอยู่กับที่ สรุปก็เลยต้องไปเน้นเช่าการ์ตูนเอาครับ ต้องขอบคุณประเทศไทยจริงๆ ที่มีกิจการให้เช่าการ์ตูนเปิดอยู่มากมาย โอ้ย ไอ เลิฟ ไทยแลนด์

อีกเหตุผลหนึ่งที่ต้องเช่าเอา เพราะการ์ตูนที่อ่านนับวันมันยิ่งเยอะขึ้นๆ แถมบางทีไอ้เรื่องเก่าๆที่อ่าน มันก็ไม่ยอมจบซักกะที มันเลยหมักหมมพอกพูนขึ้นทุกวัน เมื่อคิดได้ดังนี้แล้วเช่าเอาดีกว่าครับ แล้วก็เลือกเก็บเฉพาะบางเรื่องที่เราชอบจริงๆ

หรือบางทีก็กระทำตัวเยี่ยงกาฝากครับ คอยไปเป็นพวก free rider ไปไถเพื่อนฝูงให้มันด่าเล่น ซึ่งก็ได้ผลนะครับ ยอมโดนแม่งด่าหน่อย แต่กูได้อ่านการ์ตูนไม่เสียตังค์ เอ้อ คุ้มหวะ หึหึ (หัวเราะอย่างผู้ชนะ)

ที่ผมอยากรู้อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ในส่วนของกิจการเปิดให้เช่าการ์ตูนเนี่ย ประเทศอื่นเค้าจะมีกันมั๊ยน้อ แต่เท่าที่เคยคุยกับคนที่อยู่เมืองนอกเค้าก็บอกว่าไม่มีกันนะ เห็นจะมีเมืองไทยนี่แหละ เปิดกันเป็นล่ำเป็นสันเลย เอาแค่แถวบ้านผมนี่ก็ปาเข้าไป สี่ซ้าห้าร้านแล้ว เลือกเช่ากันเต็มไปหมด บางร้านที่คนเช่าเยอะๆนี่เป็นห้องแถวสองห้องเลย ขอบอก ขอบอก


ถ้าจะให้ผมมอง ก็คงเป็นเพราะว่าสำหรับบ้านเมืองเราแล้วระบบกรรมสิทธิ์มันไม่ได้หยั่งรากฝังลึกติดหนับเสียเท่าไหร่นัก แม้นว่าเราจะเดินหน้าการพัฒนาตามแบบทุนนิยม แต่บางปรากฏการณ์มันก็แสดงให้เห็นว่าเรายังมีลักษณะอะไรอีกหลายอย่างที่ไม่สอดคล้องกับระบบดังกล่าวไปเสียทั้งหมด เอกลักษณ์แบบไทยๆนี่เวิร์ลคลาสจริงๆ ผับผ่า

อีกอย่างก็คงเป็นที่นิสัยง่ายๆ สบายๆ ของคนไทยด้วยแหละครับ อารมณ์ประมาณว่าจะให้เช่าก็เช่าไปเถอะ แต่อย่ามาลักไก่เอาการ์ตูนลิขสิทธิ์กูไปพิมพ์ขายก็แล้วกัน ถือว่าไม่เกี่ยวกัน ของแค่นี้หยวนให้

สำหรับผมชอบนะ ที่เป็นแบบนี้ ตกเย็นเดินเข้าร้านเช่าการ์ตูนหยิบมาซักห้าหกเล่ม จ่ายเงิน เอากลับมานอนอ่านที่บ้าน หลับสบาย........มีความสุขจริงๆ

แต่ถ้าจะให้มองจริงๆ ระบบตรงนี้ผมว่าก็น่าจะทำให้เข้มงวดไปเลย เช่นอาจจะแบ่งไปเลยว่านี่คือการ์ตูนที่ใช้สำหรับเช่า ซึ่งเอาไว้ขายให้ร้านเช่าการ์ตูนซื้อไปไว้ให้ลูกค้าเช่า อีกอันก็คือการ์ตูนสำหรับขาย ไว้ให้คนทั่วไปซื้อเก็บสะสม เสร็จแล้วก็จัดแจงตั้งราคาให้ต่างกันซะ ทำให้เป็นเรื่องเป็นราวไปเลย

ปากดีไปงั้นแหละครับ ใจจริงก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้หรอก ถ้าเป็นงั้นจริงราคาเช่าการ์ตูนจะพาลแพงขึ้นอีกอะดิ แบบนี้ไม่ดีเป็นแน่แท้

วันนี้เขียนมาแบบไร้ประเด็นเรื่อยเปื่อยดีแฮะ สำหรับตอนนี้คงเป็นอะไรที่เกริ่นๆมากกว่าครับ ผมคิดเอาไว้แล้วว่าตอนหน้าจะมาพูดเรื่องการ์ตูนกันอีกครั้ง อาจจะเป็นการรีวิวการ์ตูนแบบสั้นๆ หลายๆ เรื่องดูซิว่าเราจะชอบเรื่องเดียวกันหรือเปล่า

วันนี้ต้องขอลาที เพราะได้เวลาต้องเอาการ์ตูนไปคืนแล้วครับ อิอิ

ป.ล.

สำหรับคนที่อยากอ่านการ์ตูนก็เชิญที่นี่เลยครับ เป็น blog ของพันทิปที่ผมเปิดไว้เขียนรีวิวการ์ตูนโดยเฉพาะ พึ่งเขียนไปไม่กี่ตอนเองครับ เลยมาโปรโมทซะหน่อย ฮ่าๆ

16 comments:

Tanusz said...

มาข่วยโปรโมทครับ หุหุ

สำหรับเรื่องลิขสิทธิ์ถ้าผมจำไม่ผิดนะ การให้เช่าหนังสือไม่ผิดกฎหมายลิขสิทธิ์นะครับ

พอดีมันเป็นวิชาเลือก และผมก็ไม่ค่อยชอบเรื่องกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาซักเท่าไหร่ (คิดแบบเห็นแก่ตัวนิดๆ)

สาเหตุที่ไม่ชอบมาจากเพราะกฎหมายตัวนี้ทำให้ผมต้องซื้อการ์ตูนหนา 182 หน้าในราคา 25 บาท ทั้งๆที่ตอนไม่มีลิขสิทธิ์มันขายแค่ 10 บาท(ถ้า 25 บาทต้องหนา 400 หน้า) แค่นี้ก็เซ็งแล้วครับพี่น้อง

ปล.คอมเม้นท์นี้ใช้อคติเป็นตัวตั้งต้นในการเขียน ผู้อ่านกรุณาอ่านด้วยความระมัดระวัง

Gelgloog said...

เอ้อ

สวัสดีครับ tanusz แหม ต้องขอขอบคุณจริงๆที่อุตส่าห์เข้าไปติดตาม blog ผมใน pantip

ผมเองแม้ว่าไม่มีความรู้เรื่องกฏหมายใดๆ แต่เท่าที่สังเกตุดู คิดว่าการเช่าหนังสือไม่น่าผิดกฏหมายข้อใดๆ

แต่อย่างประเทศญี่ปุ่นที่ผมเคยได้ยินมา รู้สึกว่าจะทำการแบ่งไปเลยว่าเป็นวีดีโอไว้เผื่อเช่า หรือเผื่อขาย ราคาที่ตั้งก็จะต่างกันด้วย แสดงว่าสำหรับบ้านเมืองเค้าซีเรียสเรื่องพวกนี้พอควรเลยทีเดียว

ลองสังเกตุดีๆสิครับ เวลาอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นในฉากที่เป็นร้านหนังสือ จะคอยมีพนักงานมาคอยไล่คนยืนฟรีอ่านตลอด 5555 (เกี่ยวกันป่าววะเนี่ย)

เรื่องลิขสิทธิ์นี่ผมก็อยากมีประเด็นคุยต่อเหมือนกันครับ คือมันควรหรือไม่ที่เราจะเรียก "การละเมิดลิขสิทธิ์" ว่าเป็น "การก่ออาชญากรรม" สำหรับผมมันดูจะเป็นคำที่ฮาร์ดไปหน่อยนะ เพราะโดยทั่วไปแล้วสินค้าที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาจะมีลักษณะพิเศษซึ่งก็คือเมื่อมันโดนละเมิดไปแล้วมันไม่หมดไปแฮะ ไม่เหมือนขโมยของ โดนขโมยแล้วหายเลย แต่ถ้าเป็นกรณีทรัพย์สินทางปัญญา โดนขโมยแล้วของๆเจ้าตัวก็ยังอยู่ครบมิสึกหรอ

อย่างไรก็ตามการ "ละเมิด" มันก็คงต้องมีความผิดทางกฏหมายแน่นอน แต่ผมว่ามันฮาร์ดไปนะ ถ้าจะบอกว่ามันเป็นการก่อ "อาชญากรรม" ที่ร้ายแรง

คุณ tanusz ว่าอย่างไรครับสำหรับประเด็นนี้

Anonymous said...

15 หยกๆ 16 หย่อนๆ

ดังมากการ์ตูนติดเรต ที่เข้ามาในวัยเด็กผม อิอิ

Tanusz said...

เฉพาะหนังสือนะครับที่ให้เช่าแล้วไม่ผิดกฎหมายลิขสิทธิ์ แต่ถ้าเป็นวีดีโอหรือ วีซีดีภาพยนต์ให้เช่านี่ผิดกฎหมายครับ ทำไม่ได้ ดังนั้นผมว่าถ้ามันไม่ผิด ก็อย่าไปทำอะไรกับมันเลย อุตส่าห์หนีราคามาเช่า มาเจอค่าเช่าที่แพง นี่เหมือนหนีเสือปะจรเข้นะครับ

กรณีโฆษณาที่คุณ gelgloog ว่า ผมอธิบายอย่างนี้

กฎหมายอาญามีสิ่งที่กฎหมายประสงค์จะคุ้มครอง(ศัพท์กฎหมายเรียกว่าคุณธรรมในทางกฎหมาย) แตกต่างกันไป อย่างการลักทรัพย์ สิ่งที่กฎหมายประสงค์จะคุ้มครองคือกรรมสิทธิ์ในสิ่งของ สิ่งที่กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาต้องการจะคุ้มครอง คือ “ความคิดสร้างสรรค์” ครับ ไม่ใช่ตัวสิ่งของที่ทำออกมา เพื่อส่งเสริมให้คนทั่วไปได้คิดค้นสิ่งประดิษฐ์ หรือผลงานขึ้นมาให้ปรากฏ โดยกฎหมายบอกว่าใครเป็นเจ้าของความคิด ได้รับประโยชน์จากความคิดตัวเอง คนอื่นที่ไม่ได้คิดอย่าชุบมือเปิบ ฉะนั้นเวลามองทรัพย์สินทางปัญญาอย่ามองที่ตัวสิ่งของ ให้มองที่ตัวความคิดครับ

ซึ่งในทางทฤษฎีแล้ว กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาจัดเป็น “กฎหมายเทคนิค” หมายถึงกฎหมายที่ไม่ได้มีที่มาจากศีลธรรม หรือจากมโนสำนึกภายในใจ ใครทำผิดกฎหมายก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองทำผิดอะไร เช่น การจอดรถในที่ห้ามจอด หรือฝ่าไฟแดง หากเปรียบเทียบกับการฆ่าคนตาย หรือการขโมยของ

ดังนั้น โฆษณาตัวที่ว่านั่นออกมาเพื่อจะสร้าง “มโนสำนึกเทียม” โดยเทียบเคียงว่าการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเป็นการกระทำผิดเทียบเท่ากับการขโมยของ หากถามผมว่ามัน “ฮาร์ด” ไปหรือป่าว ดูครั้งแรกๆก็รู้สึกเหมือนกันครับ ว่าไรวะ มันขนาดนั้นเลยหรือ แต่คิดไปคิดมา ถือว่าเป็นการสร้างวัฒนธรรมการเคารพในความคิดของคนอื่น ผมว่าก็โอเคนะ

สิ่งที่ผมเห็นว่าควรคิดน่าจะเป็นเรื่องการจัดการกับทรัพย์สินทางปัญญามากกว่า โดยระบบกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา ให้สิทธิผูกขาดกับเจ้าของความคิดในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งในทางปฏิบัติสิทธิที่ว่ากลับตกไปอยู่กับบรรดานายทุน(หน้าเลือด)ทั้งหลาย ซึ่งใช้สิทธิผูกขาดได้สมกับเป็นนายทุนจริงๆ ทำให้ผลงานสร้างสรรค์ต่างๆมีมูลค่าสูงจนเกินไป(ในความเห็นผมนะ) จนเกิดเป็นช่องให้มีคนขโมยความคิดเอาไปขายในราคาถูก แทนที่ผู้บริโภคอย่างผมจะสนับสนุนของจริง เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้สร้างสรรค์ กลับต้องไปซื้อของปลอมเพราะรับราคาไม่ไหว

ผมเลยลองคิดเล่นๆว่าถ้าบังคับว่า 1 ความคิดสร้างสรรค์ ต้องมีคนขายอย่างน้อย 2 คน เพื่อให้เกิดการแข่งขัน บางทีอาจช่วยได้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าคิดตื้นเกินไปหรือป่าว

ต้องขออภัยด้วยนะครับ ถามนิดเดียวกลับตอบซะยาว

Gelgloog said...

อุตส่าห์ตอบกลับมาด้วย สนุกดี ขอคุยต่อนะครับ คุณ tanusz

ก่อนอื่นต้องขออภัยที่การชี้แจงก่อนหน้านี้ของผมไม่ค่อยกระจ่างนัก

ต้องขอออกตัวก่อนเลยว่า ผมเองก็มองในแง่เดียวกับคุณครับ และไม่ได้มองมันทรัพย์สินทางปัญญาในฐานะที่เป็นสิ่งของ หากแต่ว่าลักษณะทรัพย์สินดังกล่าวมันสอดคล้องกับประเด็นในทางทฤษฎี ศศ อย่างหนึ่ง

นั่นก็คือมันไม่ลักษณะของสินค้าที่เรียกว่า public goods หรือ สินค้าสาธารณะครับ ลักษณะพิเศษ (อย่างหนึ่ง)ของสินค้าชนิดนี้ก็คือ เวลาโดนใช้แล้วมันจะไม่หมดหรือหายไปครับ เหมือนที่คุณยกตัวอย่างเลย เช่นถนนเงี้ย เราเดินข้ามไปคนนึงถนนมันก็ไม่หายไปหรอกครับ เช่นกัน เมื่อย้อนกลับมาดูทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งมีลักษณะจำเพาะบางอย่างที่คล้ายๆแบบนี้ ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า แหม่ มันจะฮาร์ดเกินไปรึเปล่าน้อ ที่จะไปยัดเยียดความเป็น "อาชญากร" ให้แก่คนเหล่านั้น

แต่ก็เห็นด้วยกับประเด็นที่คุณต่อยอดมานะครับ อย่างน้อยถ้าตรงนี้มันทำให้เกิดมโนสำนักมันก็ โอเค แหละครับ แต่มันเป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะมีวิธีการพูดในวิถีทางอื่น มิใช่ เอะอะ ก็ "ยัดเยียด" วาทกรรมใส่เค้าว่าเป็น "อาชญากร" เลือดเย็น

ส่วนเรื่องการจัดการกับทรัพย์สินทางปัญญาก็เป็นสิ่งสำคัญนะครับ กรณีที่เกิดขึ้นก็อย่างวเช่นพวกบริษัทยาใหญ่ๆนี่แหละตัวดี ที่เป็นผู้ผูกขาดนวัตกรรม โดยอ้างเรื่องเกี่ยวทรัพย์สินทางปัญญา เสร็จแล้วก็ตั้งราคายาของตนให้แพงๆ งี้ประเทศยากจนที่เจ็บป่วยยากไร้จะเอายาที่ไหนไปใช้ล่ะเอ้อ

ผมว่าเราควรที่จะจัดประเภททรัพย์สินทางปัญญาให้ชัดเจนด้วยนะครับ บางประเภทการที่นวัตกรรมตกอยู่กับคนหมู่เดียว ผมว่ามันจะก่อให้เกิดผลในทิศทางตรงกันข้ามเลยทีเดียว

ทางแก้อีกอย่าง ก็คือ (คิดว่านะ) น่าจะผลักดันเรื่องเหล่านี้ให้เป็นวาระระดับโลกเลยครับ ส่วนที่คุณเสนอมาก็น่าสนใจดีครับ การแข่งขันมันก็สามารถก่อให้เกิดนวัตกรรมได้ หากแต่เราคงมองในแง่ของการแข่งขันอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมองไปถึงแง่มุมในการกระจายนวัติกรรมที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อประโยชน์ของสังคมด้วย (แน่นอนโดยที่อย่าลืมให้เครดิตและผลตอบแทนจากผู้ที่คิดค้นด้วย)

คุยมาซะยาวเลย ยินดีมากที่ได้คุยกันครับ


ป.ล.

รอติดตามการรีวิวการ์ตูนเรื่องต่อไปได้เลยนะครับ ตอนนี้คิดออกแล้วว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี อิอิ

Tanusz said...

ตอนแรกว่าจะตอบใหม่ เขียนซะยาวเหยียด แต่ฉุกคิดได้ว่าอาจเป็นการรบกวนจขบ.กับคนอื่นที่เข้ามาอ่านด้วย ก็จบแค่นี้ดีกว่า

ขออภัยด้วยที่มารบกวนพื้นที่บล็อกกับคำตอบที่ไม่ตรงคำถาม
ยินดีเช่นกันครับที่ได้คุยกัน
ปล.รอตามอ่านรีวิวการ์ตูนตอนต่อไปด้วยใจระทึก หุหุ

Udomdog said...

อ่านสองท่านนี้ถามตอบกันแล้วอ่านเพลินดีจริงๆ ครับ ;-) / เรื่องราคาการ์ตูนนี่ผมว่ามันขึ้นราคาตามราคากระดาษด้วยน่ะครับ แต่ผมว่าราคาที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี่ชักจะแพงเกินไปแล้ว ตอนนี้ราคาการ์ตูน 1 เล่ม แทบจะใกล้เคียงกับนิตยสารที่ผมซื้ออยู่ทุกเดือนน่ะครับ

Anonymous said...

ผมขออนุญาติเปิดประเด็นใหม่ที่ค้างคาใจมานาน
ประเด็นแรกสุดที่ค้างคาใจ และฉุนกึกกะเจ๊เบียบ หรือ กระทรวงต่างที่ออกมา ban การ์ตูน บางเรื่อง หรือออกมากล่าวหาว่าการ์ตูนเป็นสื่อไร้สาระ
ผมถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่โง่ที่สุดที่ผู้ใหญ่หนึ่งคนพึงกระทำได้
การ ban การ์ตูน (ขอยกตัวอย่างเรื่อง guntz) ด้วยเหตุผลว่า รุนแรง ลามก หรืออะไรต่างๆนาๆ ที่สมองน้อยๆของบุคคลผู้ไม่เข้าลึกซึ้งถึงเนื้อหาจะยัดเยียดได้
ผมมักมีคำถามแปลกๆมาถาม gelgloog ไม่ใช่เพราะต้องการจะกวนเบื้องล่างหรืออะไร แต่เนื่องจากมั่นใจว่าคุณ gelgloog จะมีคำตอบที่แตกต่างไปจากความคิดผม
คำถามวันนี้ของผมวันนี้คือ ทำไมการ์ตูน อย่างเช่น ดรากอนบอล หรือ เซนต์เซย่า ถึงถูกยอมรับในหมู่นักอ่านการ์ตูนว่าเป็นการ์ตูนสุดคลาสสิคไปแล้ว?
ส่วนตัวแล้วคำตอบในใจผม คือการสร้างสรรค์งาน ถ้าการ์ตูนแนวการต่อสู้แบบดรากอนบอล ถ้าถูกเขียนขึ้นมาใหม่ในช่วงเวลานี้ ผมมั่นใจว่าขายไม่ออกครับ ดรากอนบอลหรือการ์ตูนเรื่องต่างโด่งดังได้เพราะสามารถแหกกฏเดิมออกมาได้ในช่วงเวลาของหนังสือการ์ตูนสมัยนั้น การเปิดมิติใหม่ของเนื้อหาการ์ตูนต่างหากที่ทำให้หนังสือการ์ตูนเล่มนั้นได้รับความยอมรับจากผู้อ่าน

หากผู้ใหญ่จะห่วงเรื่องการ์ตูนติดเรท ผมแนะนำให้ผู้ใหญ่ห่วงเรื่องการ์ตูนไม่สร้างสรรค์มากกว่า การได้อ่านการ์ตูนที่มีเนื้อหาแปลกไป ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงการพัฒนาทางความคิดที่ไม่หยุดนิ่งในโลกการ์ตูน เหตุใดต้องมาจำกัดโลกทัศน์ของเด็กด้วยครับ

Anonymous said...

หมวยก็ทันรุ่นการ์ตูน The Talent BOOM พี่ชายหมวยซื้อ่อานบ่อยๆ หมวยก็ชอบเอากรรไกรตัดการ์ตูนในเล่ม แต่พอโตมาก็เลิกอ่าน จะทำอย่างอื่นเสียมากกว่า

Gelgloog said...

คุณ udomdog การ์ตูนมันแพงเกินห้ามใจจริงๆ พับผ่าสิ 55

หมวยก็ตามมาด้วยหรอ อืมเอากรรไกรมาตัดเลยแฮะ ไม่ดีนะเนี่ย เสียของ อิอิ

ไอ้ไก่ คุณมึงนี่สรรหาเรื่องมาให้ผมเสียจริง แต่ก็ดีเว้ย ได้แลกเปลี่ยนพูดคุยกันสนุกดี ผมชอบ

เอาเรื่องเจ๊เบียบก่อนเลย จริงๆเรื่องนี้ผมขึ้นมานานแล้วตั้งกะรู้ว่า กันซึ โดนแบน นี่โคตรเซ็ง แต่ถ้าจะมองไปแล้วความรุนแรง เนื้อหาที่สื่อไปในด้านกามารมณ์มีอยู่ในการ์ตูนเรื่องนี้แน่นอน แต่ผมว่ามันไม่ใช่ประเด็นหลักนะ สิ่งที่การ์ตูนเรื่องนี้ต้องการจะสื่อน่าจะอยู่ที่การเสนอถึง "มิติของความเป็นคน" ที่มีอยู่หลากหลายด้าน และในสภาวะที่บีบคั้นต่างๆ สันดานความเป็นคนอันหลากหลายมันก็ได้ถูกแสดงผ่านออกมา สิ่งที่การ์ตูนกำลังบอกเราก็คือมนุษย์เป็นอะไรที่มีความซับซ้อนทางอารมณ์มากมายเหลือเกิน

ในเมื่อความรุนแรง และความใคร่มันก็เป็นหนึ่งในส่วนประกอบของความเป็นคน การที่มันจะปรากฏในการ์ตูนเรื่องนี้จึงไม่แปลกแต่อย่างใด

และสำหรับผมเอง ไม่คิดว่าการเสพการ์ตูนดังกล่าวมันจะก่อให้เกิดความเสี้ยนกระเหี้ยนกระหืออยากเอาดาบไปฟันหรือปืนไปยิงคนอื่นแต่อย่างใด ผมว่าการเสพการ์ตูนถ้าเรามีวิจารณญาณเพียงพอ มันย่อมไม่ส่งผลเสียแน่นอน

แต่สำหรับน้องๆเด็กๆ ที่อายุยังน้อย ตรงนี้ผมว่าก็ต้องมีมาตรการบางประการที่จะเข้ามาคอยดูแลเหมือนกัน ซึ่งถามผมเอง มุมมองที่เป็นรูปธรรมยังไม่มี จะยินดีมากถ้าได้คุยกันต่อในประเด็นนี้

แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการแบนการ์ตูนเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว ถ้าหากมันเป็นการ์ตูนประเภทโป๊แหลกก็ว่าไปอย่าง แต่ผมว่า main idea ของการ์ตูนเรื่องนี้มันไม่ใช่แบบนั้นนี่หว่า

แต่เอาเหอะ ขึ้นชื่อว่าเจ๊เบียบแล้ว แม่งชอบทำอะไรเฟ่ยๆประจำ จริงๆถ้าอยากจะนินทาเจ๊เบียบกับผม เชิญหลังไมค์ได้เลยไอ้ไก่ 55

ส่วนเรื่องดรากอนบอลนี่ผมไม่โต้แย้งอะไรเลยท่าน เป็นไปตามที่กล่าวว่าไว้ ภายใต้ยุคตัวการ์ตูนที่เป็นสีแล้ว ดรากอนบอลดูจะเป็นอะไรที่แหวกแนวมากมายเลยทีเดียว แต่ที่สำคัญผมว่าแม้ดรากอนบอลจะเป็นการ์ตูนที่อ่อนเรื่องเนื้อเรื่อง แต่อ่านแล้วมันสนุกดีหวะ 555 แต่ไม่ชอบ animation นะ เพราะแม่งจ้องหน้ากันทีนานโคตรเนื้อเรื่องไม่ไปไหนเลย

วันหลังมีการ์ตูนอะไรแนะนำ เชิญได้

Udomdog said...

เรื่องการแบนการ์ตูนที่เนื้อหารุนแรง, โป๊เปลือย ฯลฯ ที่ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองคิดว่าไม่สมควรนั้น ผมว่ามันเหมือนการเลือกปฏิบัติมากกว่า เพราะอย่างข่าวฆ่ากันตาย, ไฟไหม้ ฯลฯ ที่มีภาพสยองๆ ยังแพร่ภาพออกทางทีวีกันให้เพียบ แม้ว่าจะมีการทำเบลอๆ แล้ว ผมคิดว่าน่าจะตัดออกไปเลยดีกว่า

สำหรับเรื่องการเซ็นเซ่อนั้น ท่านมุ้ยแปะกระทู้ไว้ใน pantip ซึ่งผมว่าน่าสนใจมากๆ แม้ว่าอาจจะไม่เกี่ยวกับการ์ตูนเท่าไร แต่ก็พอจะมองเห็นภาพการเซ็นเซ่อสื่อของ กท.วัฒนธรรมฯ ได้คร่าวๆ

เมื่อวานผมนั่งดู The Core มีการเบลอบุหรี่ด้วย ฮ่วย เซ็งจริงๆ ทำแบบนี้แล้วเด็กมานไม่รู้เลยใช่มั้ยว่าไอ้ที่ควันฉุยๆ ออกจากปากนี่คืออะไร เพราะตัวละครในเรื่องก็บอกอยู่แล้วว่า "บุหรี่"

ที่ขำกว่านั้นคือระหว่างที่เปิดทีวีรอดูเทป บราซิลเตะกับนิวซีแลนด์ ได้ดู MV เพลง "เรอธัก" ของ "วงโปงลางสะออน" เนื้อเพลงก็ฟังแล้วไม่มีอะไรจริงๆ (ในความคิดของผม) แต่มันกลับโดนทำเบลอๆ อีกแล้วครับ กับคำร้องที่มีคำว่า "ลาวลาว" ฮ่วย มันอะไรกันนักกันหนาเนี่ย เฮ้อ -_-"

Anonymous said...

ประเด็น เซ็นเซอร์ นี่กำลังมันส์ เลยครับ ใน pantip หอ้งเฉลิมไทย ด่ากันกระจายครับ

รายการ mega clever ฉลาดสุดๆ ยังเคยโดนคิดเอาละกัน 55

Anonymous said...

เหอๆการ์ตูนติดเรท


เราช้อบชอบ


นานาจิตตังจำไม่ได้สมัยอยู่มอ5ละมั้งว่าการืตูนเรื่องไร

โดนเจ๊ระเบียบจัดแบนไอ้พวกผุ้ชายมันโกรธใหญ่เลย


15หยกๆ16หย่อนๆ



บ้านหนูมีอ่ะ

Anonymous said...

โอ้จอร์จ เมื่อวานเอาการ์ตูนเก่าไปขาย ได้มา 1500 บาท

ไม่น่าเชื่อจะได้ราคาขนาดนี้

Anonymous said...

What a great site, how do you build such a cool site, its excellent.
»

Anonymous said...

I like it! Keep up the good work. Thanks for sharing this wonderful site with us.
»